รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุว่า รัฐบาลเตรียมอุดหนุนภาษีสรรพามิตดีเซลต่อถึงสิ้นปีนี้ หลังการจัดเก็บรายได้ภาครัฐปีนี้เกินเป้าแล้ว ย้ำยังให้ความสำคัญกับการบรรเทาปัญหาราคาพลังงานและอาหารที่แพงขึ้น
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐในปี 2565 ทำได้เกินเป้าหมายแล้ว โดยในส่วนที่เกินเป้านี้รัฐบาลไม่ได้นำเข้าคลังหรือนำไปใช้อย่างอื่น แต่นำมาชดเชยราคาน้ำมัน โดยรัฐบาลเตรียมต่อมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลไปจนถึงสิ้นปีนี้ โดยอาจจะเป็นการขยายมาตรการในระยะสั้น 2-3 เดือน เนื่องจากมาตรการลดการเก็บภาษีน้ำมันดีเซลก่อนหน้านี้จะสิ้นสุดในวันที่ 20 กันยายน 2565
ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติต่อมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 5 บาท เป็นเวลา 2 เดือน ถึงวันที่ 20 กันยายน ต่อจากที่ได้ลดการเก็บภาษีน้ำมันดีเซลไปก่อนหน้านี้แล้ว 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน โดยครบกำหนดวันที่ 20 พฤษภาคม
ขณะที่การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ตุลาคม 2564 – กรกฎาคม 2565) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จำนวน 2,037,459 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 105,908 ล้านบาท หรือ 5.5% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.8%
อาคมยังเปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (30 สิงหาคม) วุฒิสภาได้อนุมัติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2566 เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นในวันที่ 1 ตุลาคม งบประมาณก็จะสามารถใช้ได้ ซึ่งวงเงินงบประมาณนั้นอยู่ที่ 3.185 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการทำงบประมาณแบบขาดดุล แต่เป็นการขาดดุลลดลงเรื่อยๆ เพื่อให้รายได้และรายจ่ายของรัฐบาลเสมอกัน โดยปี 2566 การขาดดุลอยู่ที่ 6.9 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงจากปี 2565 ที่ขาดดุลอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท เป็นการส่งสัญญาณว่า ในด้านรายจ่าย รัฐบาลจะใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็น ขณะที่ด้านรายรับ รัฐบาลก็มีนโยบายขยายฐานภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี
อย่างไรก็ตาม แม้การขาดดุลงบประมาณจะลดลง อาคมยังยืนยันว่า รัฐบาลยังยึดการดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary) แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังคงใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
โดยในปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ‘Thailand Ready: Moving onto the Next Chapter’ ซึ่งจัดโดย Bangkok Post อาคมระบุว่า ในระยะสั้น หรือช่วง 3 เดือนข้างหน้านี้ รัฐบาลเห็นพ้องต้องกันว่าต้องการบรรเทาปัญหาราคาพลังงานและอาหารที่แพงขึ้น เนื่องจากคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะแตะระดับสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และทำให้อัตราเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ราว 6% ดังนั้น เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว ธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) จึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่ด้านนโยบายทางการคลัง กระทรวงการคลังจึงหารือกับกระทรวงพลังงานว่าจะเข้าไปช่วยสนับสนุนผ่านมาตรการภาษี โดยจะช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด พร้อมทั้งให้คำมั่นว่ารัฐบาลจะช่วยดูแลผู้ใช้น้ำมันดีเซลไปจนถึงสิ้นปีนี้
สำหรับค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ รวมถึงค่าไฟฟ้า รัฐบาลก็จะให้ความช่วยเหลือผ่านกระทรวงพลังงาน ซึ่งเพิ่งของบประมาณเพื่ออุดหนุนค่าไฟฟ้าไป นอกจากนี้ยังมีโครงการคนละครึ่ง เพื่อช่วยเหลือพ่อค้า แม่ค้า และผู้คนฐานราก
ขณะที่ในระยะต่อไป อาคมมองว่ามี 6 เรื่องที่ต้องดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2566 และปีต่อๆ ไป ได้แก่
- การลงทุนในโครงสร้างพื้นที่ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคม รถไฟระหว่างเมือง รถไฟความเร็วสูง การปรับปรุงสนามบิน และท่าน้ำ เป็นต้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์
- การต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนการใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ซึ่งรัฐบาลออกนโยบายมาชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีสรรพากรและภาษีสรรพสามิต
- การพัฒนาพื้นที่ EEC
- การออกมาตรการทางคลัง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆ ผ่านการมาตรการยกเว้นภาษี
- การระดมทุนให้แก่โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับภาคเอกชน ในระยะต่อไปการปล่อยสินเชื่อจะมุ่งไปยังโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การสนับสนุนนโยบาย Workation โดยนอกเหนือจากการออกนโยบายเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวแล้ว ต้องสนับสนุนให้คนต่างชาติอยากเข้ามาทำงานในประเทศไทยด้วย
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP