Make Noise คือผลงานเพลงล่าสุดจากวงไอดอลอย่าง BNK48 ซึ่งจะถูกลิสต์ไว้เป็นเพลงรองของซิงเกิลลำดับที่ 12 จาก 16 สาว ยูนิต Under Girls
และเป็นอีกครั้งที่ THE STANDARD POP มีโอกาสพูดคุยกับ 6 สาว ตัวแทนจาก Make Noise ประกอบด้วย ฮูพ-ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย (เซ็นเตอร์), มายด์-ปณิศา ศรีละเลิง, เอิร์น-วชิราพร พัฒนพานิช, จ๋า-ณปภัช วรพฤทธานนท์, เฟม-นันทภัค กิตติรัตนวิวัฒน์ แห่งวง BNK48 และ แชมพู-กชพร ลีละทีป จากวง CGM48
โดยการพบปะสมาชิกทั้ง 6 คนรอบนี้ นอกจากการเดินสายโปรโมตเพลง บอกเล่าความหมายเพลง รวมถึงแชร์ประสบการณ์สนุกๆ จากการทำเพลงนี้ เราถือโอกาสนี้ชวนน้องๆ มาถอดบทเรียนชีวิตผ่าน ‘ความกลัว’ หนึ่งในความหมายของเพลงนี้ เพื่อให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะแฟนคลับของทั้ง 6 สาวได้ทำความรู้จักและเข้าใจชีวิตของพวกเธอให้มากยิ่งขึ้น
Make Noise กับความหมายที่กลั่นจากมุมมองของเมมเบอร์
เริ่มต้นเราให้น้องๆ ได้อธิบายความหมายของเพลงนี้ในมุมมองของแต่ละคน และเป็นเซ็นเตอร์คนเก่งประจำเพลงนี้อย่างฮูพ ที่บรรยายความหมายของเพลงนี้ให้ฟังว่า
ฮูพ: “Make Noise เป็นเพลงที่มีบีตหนักและจังหวะที่สนุกสนาน หนูเชื่อใครได้ฟังก็อยากลุกขึ้นมาเต้น แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งมากๆ โดยเนื้อเพลงจะเปรียบเทียบตัวเราเองกับสุนัขพันธุ์โดเบอร์แมน ซึ่งสุนัขสายพันธุ์นี้คือสุนัขตำรวจ มีความดุ ขึงขัง ใครได้เห็นก็จะรู้สึกเกรงขาม
“แต่ภายในจิตใจของโดเบอร์แมน หากเปรียบเป็นคนจะเป็นคนที่ขี้กลัว มีหลายสิ่งที่ต้องฝ่าฟัน โดยเฉพาะความกลัว ที่ไม่กล้าแม้จะข้ามผ่านมันไปให้ได้ ก็เลยมีความรู้สึกว่าจะต้องทำอย่างไร ทำตัวอย่างไร หรือต้องทำหน้าอย่างไรเมื่อต้องเสียใจ เพราะทุกครั้งเวลาเราแสดงสีหน้ากับคนอื่นๆ เรามักจะแสดงให้คนเห็นว่าเราเข้มแข็ง แม้ในใจจะอ่อนไหวก็ตาม”
แชมพู: “ส่วนตัวหนูมองว่าความหมายของเพลงก็ไม่ได้แปลตรงตามเนื้อเพลงทุกท่อน เพราะมันจะมีความลึกซึ้งที่ต่างกันตามบริบทต่างๆ ทั้งความรู้สึกและอารมณ์ เพราะแต่ละคนจะมีจินตนาการที่ต่างกันออกไป”
เบื้องหลังมิวสิกวิดีโอสนุกแค่ไหน?
ฮูพ: “ส่วนตัวฮูพในฐานะเซ็นเตอร์มีส่วนร่วมกับเพลงนี้ในหลายๆ ด้าน รวมถึงงานมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ด้วย โดยตัวเนื้อหา หนูเป็นคนเสนอไปว่าอยากได้โลเคชันในสตูดิโอ และหนูเลือกที่จะไม่ปูเนื้อเรื่อง ทำพล็อตหรือทำสตอรีแบบเพลงก่อนๆ เพราะส่วนตัวหนูมองว่าเรื่องของชุดก็มีความโดดเด่น มีความชัดเจนในตัวอยู่แล้ว
“เลยทำให้เกิดไอเดียว่า หากเราลองเน้นมาแสดงกับเพอร์ฟอร์แมนซ์ของเมมเบอร์เอง หนูคิดว่าน่าจะเป็นชิ้นงานที่มีความแปลกใหม่ดี และแฟนคลับน่าจะได้เห็นพลังการเต้นที่เป็นจุดเด่นของเพลงได้ชัดขึ้น รวมถึงเห็นมุมมองมิวสิกวิดีโอเพลงของ BNK48 ที่หลากหลายมากขึ้น แบบว่ามาถึงก็ระเบิดพลังเต้นใส่กันสุดพลังไปเลย”
เฟม: “ด้วยความเป็นเพลงที่ต้องเต้นกันชนิดที่ต้องตามเก็บทุกจังหวะ และเต้นเร็ว เน้นความไว ทำให้ต้องใช้กล้ามเนื้อเยอะขึ้น อาศัยความแข็งแรง ซึ่งครูสอนเต้นก็เตือนมาแล้วว่า ก่อนถ่ายทำเอ็มวีให้หมั่นออกกำลังกาย เตรียมร่างกายให้ดี”
เอิร์น: “ซีนหนึ่งไม่ได้ถ่ายเพียงครั้งเดียว แต่ต้องถ่ายถึง 5-6 เทก ทั้งซีนเต้น ซีนลิปซิงก์ ยกตัวอย่างช็อตของฮูพ มีถ่ายไม่ต่ำกว่า 10 รอบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมิวสิกวิดีโอตัวนี้ไม่ได้มีสตอรีเยอะ เลยต้องเน้นองค์ประกอบอื่นอย่างแสง มุมกล้อง ให้ภาพออกมามีลูกเล่นมากที่สุด จนนำมาประกอบให้เป็นเอ็มวีตัวนี้”
เลือกเนื้อร้องที่ชอบคนละ 1 ท่อน
ฮูพ: “คำใดๆ หรือจะเป็นเสียงของใคร ไม่แคร์หรอก อยู่ตรงนี้คนรักก็คงไม่มา ฉันมีแค่ฉัน ไม่เลย ไม่เคยต้องการใคร”
“เรามาอยู่ตรงนี้ในฐานะศิลปินวง BNK48 เราได้รับทั้งคำชม คำติ และอีกหลายคำที่ไม่สามารถพูดตรงนี้ได้ ถาโถมเข้าหาเรา และถ้าเราใจไม่แข็งพอ เผลอไปฟังหรือรับสารส่วนนั้นเข้าหัว มันอาจจะนำไปสู่การที่เราต้องสูญเสียตัวเราเองไปในที่สุด
“ซึ่งท่อนทำนองตรงนี้ให้ความรู้สึกประมาณว่า เราไม่จำเป็นต้องสนใจคำคนอื่นไปทั้งหมด โดยเฉพาะคำที่ทำร้ายจิตใจ หนูจะคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเราเป็นตัวของเราเอง อย่างไรก็ยังมีคนที่รักเราในแบบที่เราเป็น รักและสนับสนุนเราในทางที่เราเลือกแล้วว่าดีจริงๆ”
เอิร์น: “กลัว กลัว กลัวกับการที่ต้องเชื่อใจใครสักคน ถูกกักตัว ถูกล่ามโซ่ไม่ให้ไปไม่ว่าที่ไหน”
“ของเอิร์นชอบท่อนฮุกนี้ค่ะ ที่สื่อว่าเราจะกลัวที่ต้องเชื่อใจใครสักคน กลัวว่าเขาจะมาทำร้ายเราหรือเปล่า ก็เลยสร้างกำแพงกั้นเองผ่านอิริยาบถต่างๆ เช่น วางมาดขรึม แสดงความอินโทรเวิร์ตทั้งที่ในใจอยากทำความรู้จัก แต่เรายังกลัวและไม่กล้าที่จะไว้ใจ”
แชมพู: “จากวันและวินาทีที่ยอม ยอมแพ้ทุกสิ่งบนโลกเราใบนี้ และในวันนั้นก็เริ่มเข้มแข็งขึ้นทุกที”
“จากวันที่เราจะมีความเหนื่อยหรือท้อบ้าง หรืออยากจะยอมแพ้ แต่อยู่ดีๆ มันก็มีข้อความในใจดังขึ้นมาว่า เราต้องสู้ๆ เราต้องทำให้ได้นะ และเราก็ต้องเชื่อว่าเราต้องทำได้ ฉะนั้นเราก็ต้องลุกขึ้นมาก้าวข้ามผ่านอุปสรรคที่เรากลัวไปให้ได้”
เฟม: “หนูชอบท่อนอินโทรตอนเริ่มเพลงที่ยังไม่มีเนื้อร้อง พอฟังแล้วมันให้ความรู้สึกปลุกใจ ฮึกเหิม จากที่เราซึมๆ อยู่ หรือรู้สึกดาวน์ พอได้ยินแค่อินโทรก็ให้ความรู้สึกว่า ตรงนี้แหละคือเวทีของฉัน สเตจของฉัน ฉันพร้อมที่จะเฉิดฉายตรงนี้
“แต่ถ้าเป็นท่อนที่เป็นเนื้อเพลง ส่วนตัวก็ชอบท่อน “ทำยังไง ต้องทำหน้าตาเช่นไร เมื่อตอนร้องไห้มีน้ำตา ช่วยบอกฉันสักทีต้องทำแบบไหน” เพราะครั้งหนึ่งในชีวิตเคยรู้สึกกับคำนี้จริงๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกแย่ และเราก็บอกกับตัวเองว่า ต้องทำอย่างไร ต้องทำตัวเช่นไร เหมือนเนื้อเพลง แม้จะอยากร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าร้อง ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น”
มายด์: “ทำยังไง ต้องทำหน้าตาเช่นไร เมื่อตอนร้องไห้มีน้ำตา ช่วยบอกฉันสักทีต้องทำแบบไหน”
“หนูก็ชอบท่อนนี้เหมือนกัน หนูรู้สึกว่าสังคมหล่อหลอมให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่ง หนูยอมรับเลยว่าหนูเป็นคนที่โดนปัญหาดราม่ามาค่อนข้างโชกโชน (หัวเราะ) หลายครั้งสิ่งต่างๆ ทำให้เรารู้สึกว่า ‘ห้ามล้ม’ ถ้าล้มจะมีคนรอซ้ำเติมทันที ทำให้การใช้ชีวิตทุกวันนี้ต้องอยู่กับสติ ห้ามพลาดเด็ดขาด
“แม้แต่ตอนที่เราอยากจะร้องไห้ ไม่ว่าจะกับปัญหาอะไรก็ตาม เรายังไม่กล้าร้องเลย ทุกครั้งที่เราร้องหนูรู้สึกว่ามีคนที่รอสมน้ำหน้าเราอยู่ สิ่งเหล่านี้มันผลักให้เราต้องเข้มแข็งตลอดเวลา แม้ในใจจะอยากร้องเพื่อระบายความอัดอั้นออกมาก็ตาม”
จ๋า: “เหม่อมองแสงดวงจันทร์สีฟ้าในเวลาค่ำคืน มันทำให้เริ่มหายใจลำบาก”
“เดิมทีเนื้อร้องของเพลงนี้หนูชอบทุกท่อน แต่ถ้าให้เลือกจะมี 1 ท่อนที่ติดอยู่ในใจหนูก็คือท่อนนี้ มันชวนให้เราลองคิดภาพตามว่า ดวงจันทร์สีฟ้ามันไม่มีในความเป็นจริง พอเพลงมีท่อนนี้ทำให้รู้สึกอินกับเพลงมากขึ้น ให้ความรู้สึกว่ามันไม่มีหรอกนะ ดวงจันทร์สีฟ้า แต่คืนนั้นมันทำให้รู้สึกว่าพระจันทร์มันเป็นสีฟ้า มันแสดงถึงความเหงา พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นแต่ความโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยู่กับเราเลย มีเพียงเราที่ยืนอยู่ตรงนี้ ทำให้รู้สึกอึดอัด หายใจลำบาก เป็นท่อนที่แสดงถึงความเหงาได้ดีเลยสำหรับหนู”
พออ่านถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายท่านน่าจะคิดตรงกับเราว่า เพลงนี้ช่างมีความหมายที่สอดคล้องกับชีวิตของแต่ละคนอย่างอัศจรรย์ใจ การเลือก ‘ท่อนเพลง’ มา 1 ท่อนแล้วมาเปรียบเทียบกับชีวิตของพวกเธอเอง คือสิ่งที่เกิดโดยไม่ได้ผ่านการชี้นำแต่อย่างใด หากแต่น้องๆ เป็นคนเลือกอธิบายจากความรู้สึกเบื้องลึกในหัวใจของพวกเธอเอง
Make Noise ถูกเลือกมาเป็นเพลงของทีม Under Girls ได้อย่างไร?
ฮูพ: “ช่วงหลังจบงาน General Election เรามีการลิสต์เพลงกันเล่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีแต่เพลงที่เน้นการเต้นทั้งนั้นเลย แต่หลังจากนั้นไม่นานทีมงานมีเพลงมาให้เราเลือก 3 เพลง โดยที่ให้หนูหลับตาฟัง ซึ่งพอฟังแล้วมันไม่มีเพลงที่เราเก็งกันไว้ก่อนหน้านั้นเลย (หัวเราะ) ขั้นตอนนั้นคือเขาจะเปิดดนตรีของเพลงให้เราฟังโดยไม่ให้รายละเอียดอะไรเลย
“แต่พออินโทรของ Make Noise ดังมาเพลงแรก หนูคิดเลยว่าเพลงนี้แหละ ใช่เลย ช่วงที่เขากำลังเปิดเพลงที่ 2 ให้ฟังต่อ หนูบอกเลยเอาเพลงนี้ ไม่ต้องเปิดเพลงอื่นแล้ว แต่เขาก็บอกให้ใจเย็นๆ และฟังอีก 2 เพลงที่เหลือก่อน ซึ่งก็ได้ฟังหมดแล้ว แต่สุดท้ายหนูก็เลือก Make Noise มาเป็นเพลงของเรา
“หนูมั่นใจว่าทุกคนต้องทำเพลงนี้ออกมาได้ดีแน่ๆ เพราะหนูรู้สึกว่าซิงเกิลนี้มันพิเศษกว่าเพลงทั่วไปตรงที่แฟนคลับเป็นคนโหวตเรามาติด Senbatsu หนูก็คิดต่อไปอีกว่า ถ้าแฟนคลับได้เห็นอะไรใหม่ๆ แฟนคลับเราน่าจะชอบมากแน่ๆ และผลลัพธ์ออกมาก็คือเมมเบอร์ทุกคนทำได้ดีมากๆ”
มายด์: “หนูรู้สึกว่าการเลือกเพลงนี้เป็นสิ่งที่ตัดสินใจถูกแล้ว เพราะถ้าให้พูดตามตรง เราเล่นเพลงที่มีท่วงทำนองที่ซ้ำมาเยอะ แต่ถ้าเรากล้าที่จะแหวกแนว ฉีกมาจากขนบเดิม มันจะทำให้เราเติบโต เกิดสิ่งใหม่ๆ ได้เห็นคาแรกเตอร์ที่ต่างจากบุคลิกเดิมของเมมเบอร์ และทำให้หลายคนเห็นว่าเมมเบอร์วงเราแม้บางคนที่หน้าหวานหรือหน้าตาน่ารัก ไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะกับเพลงน่ารักสดใสเสมอไป แต่สิ่งนี้จะทำให้เห็นความสามารถในตัวเมมเบอร์ที่ต่างไปจากเดิม”
ถัดจากพาร์ตคุยเรื่องงานเพลง เราพบว่าหนึ่งในจุดน่าสนใจที่เพลงนี้สื่อถึงนอกเหนือจากจังหวะอันเร้าใจ คือเรื่องของความหมายเพลง ที่มุมหนึ่งเรารู้สึกว่าเพลงพูดถึงเรื่อง ‘ความกลัว’ เราจึงถือโอกาสนี้ได้ทำความรู้จักและเข้าใจตัวตนของพวกเธอให้มากขึ้นผ่านบทเรียนจากความกลัวของแต่ละคน
หน้าตาของ ‘ความกลัว’ ในจิตใจแต่ละคนเป็นอย่างไร?
แชมพู: “จริงๆ หนูเป็นคนที่กลัวหลายอย่างเลยนะ เพียงแต่หนูบอกกับตัวเองอยู่ตลอดว่าเราทนได้ เราเข้มแข็ง ไม่ว่าเราจะต้องฝ่าฟันอะไร เราจะต้องทำมันออกมาให้ดีที่สุดด้วยการบอกว่า ‘เราทำได้’ แต่วันไหนที่เราอ่อนแอจริงๆ ก็ให้เรารู้สึกกับสิ่งนั้นไปเลย แล้วค่อยมาเข้มแข็งต่อในวันพรุ่งนี้ แต่ระหว่างนั้นเราต้องทำความเข้าใจว่าทำไมเราถึงกลัว ทำไมเราต้องรู้สึกกับสิ่งพวกนี้มากที่สุด เราต้องเข้าใจมันให้มากที่สุด แล้วเราจะผ่านมันไปได้
“ส่วนวิธีการรับมือกับความกลัวของหนูคือ กล้าที่จะยอมรับและทำความเข้าใจมันมากกว่าหนี ย้อนกลับไปตอนเข้าวงมาใหม่ๆ หนูกลัวหลายอย่างเลย กลัวการร้องเพลง เพราะเราเคยร้องเพลงไม่ตรงจังหวะมาก่อน พอต้องมาร้องเพลงมันเลยไม่มีความมั่นใจ แต่พอได้ขึ้นสเตจจริงๆ เราต้องมีความมั่นใจและบอกกับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับมาเสียดายทีหลัง ก็เลยตั้งใจทำให้เต็มที่ไปเลยดีกว่า ละทิ้งความกลัวไว้หลังเวที เมื่อก้าวเท้าขึ้นสเตจเราต้องเป็นศิลปินที่มีความมั่นใจในการทำสิ่งที่ชอบ”
เอิร์น: “ความกลัวของเอิร์นเหมือนกับเพลงนี้เลยนะ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่อินโทรเวิร์ตประมาณหนึาง ถึงแม้คนภายนอกจะมองว่าเราเป็นคนเฮฮา ซึ่งเราก็เป็นคนที่เฮฮานะ แต่ในใจลึกๆ มันไม่ได้เป็นความเฮฮาแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ มันยังถูกกั๊กจากอะไรบางอย่างอยู่ใจ มันเลยกลายเป็นความกลัวว่า แล้วทำไมตัวเราถึงไม่กล้าที่จะเปิดใจ ไม่กล้าที่จะเรียนรู้กับคนอื่น
“ซึ่งมันเป็นความกลัวที่หนูยังก้าวผ่านไปไม่ได้ ส่วนวิธีรับมือหนูจะเลือกที่จะซึมซับกับความรู้สึกนั้นไปก่อน ปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึก จะนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ด้วยความรู้สึกอยู่ในใจที่ว่าสักวันหนึ่งมันจะมูฟออนได้เอง
“หนูรู้นะว่าวิธีแก้ปัญหามันคืออะไร แต่อย่างที่บอกคือเรายังทำไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกข้างในที่เรายังไม่พร้อมจะเปิดใจมากกว่า แต่สัญญาว่าจะสู้และทำให้ดีที่สุด”
ฮูพ: “ความกลัวของหนูคือการกลัวที่จะสูญเสียคนที่รักไป เมื่อไม่นานมานี้มีเพลงของศิลปินท่านหนึ่งที่เพิ่งปล่อยออกมา นั่นก็คือเพลง วาดไว้ (recall) ของ Bowkylion แล้วในคอนเทนต์ TikTok ของเพลงนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับครอบครัว ซึ่งมันทำให้หนูสามารถนั่งร้องไห้ได้ทั้งวันเลย
“หนูมีประสบการณ์ไปถ่ายซีรีส์ตัวหนึ่ง ซึ่งระหว่างนั้นครูที่สอนแอ็กติ้งถามหนูว่า อะไรคือสิ่งที่เซนซิทีฟมากที่สุด ตอนนั้นมันทำให้หนูรู้ว่า สิ่งที่หนูหลอกตัวเองมาตลอดว่าความเซนซิทีฟของหนูก็คือการที่ทำอะไรแล้วไม่ออกมาดีสักที แต่ความจริงมันไม่ใช่ เพราะหนูเพิ่งมาค้นพบว่าหนูกลัวที่จะเสียคนในครอบครัวไป”
จ๋า: “ที่ทุกคนพูดมาหนูก็กลัวหมดเลยนะ (หัวเราะ) แต่ที่เป็นปัญหาและพบเจอบ่อยที่สุดก็คือกลัวที่จะต้องก้าวออกจากเซฟโซนของตัวเอง เพราะจริงๆ เราเป็นอินโทรเวิร์ต มันกลัวที่จะต้องพบเจอกับคนใหม่ๆ กลัวเวลาต้องพูดคุยกับคนที่เพิ่งพบเจอ ไม่รู้ต้องเริ่มต้นอย่างไร มันเหมือนสมองต้องทำงานหนักมาก เพราะมันจะคิดอยู่เสมอว่า เราจะพูด เราจะทักแบบไหนดี ถ้าพูดไปแล้วจะโอเคไหม บางทีก็กลายเป็นคนคิดมาก คิดเยอะ คิดไปเรื่อย
“ทุกวันนี้หนูก็พยายามปรับตัวและรับมือกับอุปสรรคต่างๆ ทุกครั้งเมื่อเราต้องกล้าออกจากเซฟโซน ซึ่งทุกครั้งหนูพยายามคิดในแง่ดีว่า บางสิ่งที่เราออกมาจากเซฟโซนมันไม่ได้แย่อย่างที่คิด ลองดูและลองทำให้เต็มที่ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง อันนี้ก็เป็นคติอีกหนึ่งอย่างที่หนูจะถือไว้ติดตัวเวลาที่ต้องทำอะไรที่มันก้าวออกจากเซฟโซน”
เฟม: “พอได้ฟังคำถามและมานั่งคิดดูแล้ว หนูก็เป็นคนที่ขี้กลัวมากเลยนะ แต่ถ้ากลัวที่สุดสำหรับหนู ณ ตอนนี้ น่าจะเป็นความกลัวที่ไม่พอใจในตัวเองมากกว่า หนูค่อนข้างที่จะกดตัวเองมากๆ ชอบเอาตัวเองเปรียบเทียบกับคนอื่น ถึงแม้ในใจจะพูดว่า ‘ก็แข่งกับตัวเองสิ ทำไมต้องแข่งกับคนอื่นด้วย’ แต่สุดท้ายตัวเองก็ต้องแข่งกับตัวเองในใจอยู่ดี
“พอมันมีความรู้สึกที่ไม่ภูมิใจในตัวเอง มันเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้คิดว่าคนอื่นไม่ภูมิใจในตัวเราด้วย ด้วยความที่เราไม่ใช่เมมเบอร์ที่อยู่ระดับท็อปมาตั้งแต่แรก มันเลยมีความพยายามที่จะดิ้นรนพาตัวเองไปอยู่ในอันดับที่ต้องการให้ได้ แต่มันก็ทำไม่ได้สักที มันเลยเป็นความกลัวที่ติดอยู่ในใจมาตลอด ซึ่งหนูรับมือด้วยการพยายามเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ยอมรับและอยู่กับมันให้ได้”
มายด์: “กลัวคนที่เขารักเรากลายเป็นคนที่ไม่เข้าใจเรามากที่สุด สิ่งนี้น่าจะเป็นอะไรที่ทำให้หนูเสียใจมากที่สุดแล้ว ด้วยความที่เขาเป็นแฟนคลับ เราก็อยากจะให้เขารู้จักเราให้ดีที่สุด สำหรับหนูแฟนคลับคือที่พึ่งพาในระดับหนึ่งเลย เนื่องด้วยหนูเป็นเด็กต่างจังหวัด มาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว คนที่ช่วยหนูได้ดีมากๆ ตอนนั้นก็คือแฟนคลับนี่แหละ เพราะเราจะเจอกันตามอีเวนต์บ่อยมาก หนูก็เลยกลัวว่าสักวันหนึ่งถ้าเขาเกิดไม่เข้าใจเราขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คืออะไร มันก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเราไม่เหลือใครให้พึ่งพิง ไม่มีคนข้างๆ แล้ว”
หลังจากฟังและทำความเข้าใจกับสิ่งที่ติดอยู่เบื้องลึกในจิตใจของพวกเธอทั้ง 6 คนแล้ว เรารู้สึกยินดีและอยากเป็นกำลังใจในเวลาเดียวกัน เพราะสิ่งเหล่านี้นับเป็นการพูดคุยเชิงความรู้สึก ที่ยากต่อการถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในวงสนทนาเวลานี้
และดูเหมือนว่าจุดประสงค์การพูดคุยครั้งนี้จะเปลี่ยนไป เพราะเดิมทีวางไว้เพื่อให้เรารู้จักตัวตนของพวกเธอ แต่ ณ ตอนนี้ ทั้งความรู้สึกที่แสดงออกจากการตอบคำถาม ไปจนถึงสีหน้าท่าทางนั้น ทำให้เราเข้าใจว่าทั้ง 6 สาวได้ทำความเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นกับสิ่งที่เธอได้ถ่ายทอดออกมา
ด้วยเหตุนี้เราจึงตั้งหัวข้อปิดท้ายการสัมภาษณ์ในวันนี้ด้วยการให้เธอทั้ง 6 คนได้พูด ‘ขอบคุณตัวเอง’ หรือสิ่งที่ต้องการจะบอกกับตัวตนของพวกเธอเองในวันนี้
คำขอบคุณ แด่…ตัวเธอเอง
จ๋า: “ขอบคุณตัวเองที่พยายามมาโดยตลอด ขอบคุณที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ หลายครั้งที่ชีวิตเรามันมีโมเมนต์ที่เราอยากจะยอมแพ้ หรือไม่อยากจะทำอะไรสักอย่างแล้ว อยากจะขอบคุณตัวเองมากๆ ที่ยอมสู้ต่อ และเลือกที่จะทำต่อไปอย่างเต็มที่ แล้วอยากจะบอกกับตัวเองว่า อย่าไปกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น อยากให้ตัวเองเข้มแข็งเอาไว้ สู้ๆ เธอทำได้อยู่แล้ว
“ถึงช่วงหนึ่งของชีวิตเรานั้นอาจจะเลือกหรือทำอะไรที่มันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดไป อย่าโทษตัวเองว่าตอนนั้นไม่น่าทำอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่จงภูมิใจว่าสิ่งที่เราเลือกทำไป ณ ตอนนั้น มันคือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ในช่วงเวลานั้นที่เราจะเลือกได้ ไม่อยากให้เราต้องรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เลือกลงไป และอยากให้เข้มแข็ง ยิ้มเยอะๆ และก็สู้ๆ”
แชมพู: “สำหรับหนู ‘การขอบคุณตัวเอง’ เป็นสิ่งที่ทำบ่อยอยู่ประมาณหนึ่งเลย ไม่ว่าจะขอบคุณที่ทำให้ตัวเองมาอยู่ตรงนี้ ขอบคุณที่ทำสิ่งนี้ ขอบคุณที่ทำให้ตัวเองรู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น หนูรู้สึกว่าการขอบคุณตัวเองเป็นอะไรที่ทำให้เราภูมิใจในตัวเองมากขึ้น แม้มันจะแค่นิดเดียวก็ตาม แต่เราก็ทำได้นะ แต่อาจจะค่อยๆ ก้าวขึ้นไปทีละนิด ก็เลยคิดว่าการได้ขอบคุณตัวเองคือสิ่งที่อยากให้ทุกคนทำมากๆ
“เพราะการขอบคุณตัวเองทำให้เรารู้จักกับตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องขอบคุณที่ตัวเองเก่งก็ได้ แค่วันนี้เรามองตัวเองในกระจก เราก็แค่ชมตัวเองว่าวันนี้เราสวยมากเลย หรือวันนี้เรายิ้มได้ทั้งวันก็ขอบคุณที่เราเข้มแข็ง หรือช่วงที่เจอกับอะไรที่เลวร้าย ก็ให้ขอบคุณตัวเองที่พาชีวิตผ่านพ้นไปได้”
มายด์: “ของหนูขอไม่เอาเป็นคำพูด เพราะหนูคิดว่าถ้าเราแยกร่างตัวเองออกมาได้เป็นตัวหนู 2 คน หนูขอแค่ได้มองตาตัวเองแค่นั้น เพราะหนูเชื่อว่าเราต่างรู้กันอยู่แล้วว่าเราผ่านพบเจออะไรกันมา หนูแค่อยากเดินไปกอดตัวหนูอีกคนก็พอ”
เอิร์น: “ของเอิร์นก็คล้ายๆ ของจ๋านะ ขอบคุณที่ไม่คิดโทษตัวเองในอดีต ทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมา เอิร์นทำเต็มที่ในทุกเรื่อง แล้วไม่เคยรู้สึกเสียใจว่าทำไมวันนั้นไม่ซ้อมให้เยอะกว่านี้ เพราะต่อให้ย้อนเวลากลับไปในตอนนั้นเราก็ยังทำได้ประมาณนี้ เพราะตอนนั้นเราทำดีที่สุดแล้ว ณ ช่วงเวลานั้น เลยอยากขอบคุณที่ไม่คิดโทษตัวเองในอดีต และคิดว่าจะคิดแบบนี้ไปตลอด เพราะการคิดโทษตัวเองมันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
“ขอบคุณตัวเองที่รู้วิธีแก้ปัญหาในทุกๆ อย่าง ในยามที่ตัวเองมีความทุกข์ หนูเป็นคนที่รู้วิธีแก้ปัญหาต่างๆ แบบเป็นลำดับขั้นตอน 1, 2, 3, 4 ก็อยากจะขอบคุณที่รู้วิธีแก้ปัญหา ถึงแม้จะยังก้าวข้ามไปอยู่ในจุดที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ขอบคุณที่ตัวเองยังมีสติคิดได้ ไม่ทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง”
ฮูพ: “หนูรู้สึกขอบคุณอีกคนหนึ่งที่อยู่ในสมองของหนูมากๆ เพราะทุกครั้งที่เวลาหนูคิดลบ มันจะมีคนที่อยู่ในหัวของหนู คอยเตือนสติให้หนูหยุดคิดลบกับตัวเอง และทุกครั้งที่ล้มจะมีคนนี้ดึงหนูกลับขึ้นมา อยากขอบคุณที่ยังมีคนคนนี้อยู่ในหัว”
เฟม: “ขอบคุณที่ตัวหนูยอมเปลี่ยนมายด์เซ็ตตัวเอง เพราะเมื่อก่อนหนูรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างที่จะเป็นเด็กเอาแต่ใจ ดังนั้นการเปลี่ยนมายด์เซ็ตของหนูมันคือการเปลี่ยนเพื่อให้ตัวหนูเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นคนที่อยู่ในสังคมนี้ได้ ไม่เป็นพิษต่อสังคม เมื่อก่อนตัวหนูนอกจากจะหยิ่งแล้ว ยังเป็นคนที่โกรธแค้นอะไรได้ง่าย แต่พอเรามาอยู่ในครอบครัวของ BNK48 มันทำให้หนูได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เรียนรู้การเชื่อใจ รักเพื่อน-พี่-น้อง ในแบบที่เขาเป็นเขาเอง ไม่ใช่มัวแต่คิดสบประมาทคนอื่น ซึ่งกว่าจะคิดได้แบบนี้ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน ก็อยากจะขอบคุณตัวเองที่ยอมเปลี่ยน และกล้าที่จะยอมเข้าใจโลก ยอมเติบโตขึ้น ไม่จมอยู่กับสิ่งที่ไม่ดี
“ถ้านับจากวันที่หนูตัดสินใจเซ็นสัญญามาเป็นสมาชิก BNK48 หนูคิดว่าจากวันนั้นถึงวันนี้หนูเติบโตขึ้นมากจริงๆ มันมีคำหนึ่งที่หนูสลักไว้ในแหวนว่า ทุกอย่างมันมีเหตุผลของมัน ฉะนั้นจงอย่าเพิ่งท้อเมื่อเจออุปสรรคอะไรก็ตาม เพราะชีวิตเรายังมีอีกหลายมุมหลายด้าน อย่ามองชีวิตแค่ด้านเดียว”
และทันทีที่เฟมพูดจบ แชมพูก็พูดขึ้นมากลางวงสนทนาว่า “หนูรู้สึกอยากกอดทุกคนมากเลย”
หลังจากนั้นภาพที่เราได้เห็นอยู่เบื้องหน้าคือกลุ่มเด็กสาวผู้มีความฝันได้โผตัวเข้ากอดกันเป็นวงกลม แม้จะไม่มีคำพูดใดสอดแทรกขึ้นมา แต่ชั่วขณะนั้นเราสัมผัสได้ว่า อ้อมกอดที่เธอมอบให้กันนั้นมันมีความหมายต่อพวกเธอมาก
1 ชั่วโมง กับอีก 14 นาทีโดยประมาณ คือช่วงเวลาที่เราได้รู้จักและทำความเข้าใจเด็กกลุ่มนี้มากขึ้นจริงๆ ชีวิตในการเป็นหนึ่งในสมาชิก BNK48 และ CGM48 คือหนึ่งในปัจจัยที่หล่อหลอมให้พวกเธอเติบโตมาอย่างดี การทำหน้าที่ในฐานะศิลปินวงนี้ เหมือนไทม์แมชชีนที่พาพวกเธอล่วงเวลามาใช้ชีวิตในแบบผู้ใหญ่ เรียนรู้ชีวิตสิ่งที่เกิดขึ้นจากหน้าและหลังกล้อง สัมผัสความสุขและความเศร้า ได้ลิ้มรสชาติความสมหวังและผิดหวัง
พวกเธอคือกลุ่มเด็กสาวที่เก่งและเข้มแข็งมากจริงๆ / เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
Make Noise – BNK48
Bonus Picture – Make Noise: BNK48