บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ หรือ BGRIM แจ้งผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/65 มีรายได้ 14,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.9% จากราคาขายไฟต่อหน่วยและปริมาณการขายไฟเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนหลักเพิ่มขึ้น 76% ส่งผลให้ไตรมาส 2/65 บริษัทขาดทุนสุทธิ 193 ล้านบาท ขณะที่บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.03 บาทต่อหุ้น XD 25 สิงหาคม 2565
BGRIM รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2/65 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 14,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยบวกจากราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วยให้แก่ กฟผ. เพิ่มขึ้น และปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง 5.1% จากทั้งลูกค้ารายเดิมและรายใหม่จำนวน 32.3 เมกะวัตต์ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 รวมถึงการเติบโตจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิต 16 เมกะวัตต์ ในไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2564
ในไตรมาส 2/65 บริษัทขาดทุนสุทธิ 193.17 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,021.97 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 147 ล้านบาท ลดลง 85.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุหลักของการขาดทุนเกิดจากราคาก๊าซธรรมชาติปรับเพิ่มขึ้น 76.6% ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ซึ่งคิดเป็น 20.7% ของรายได้รวม และเพิ่มขึ้น 332.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) จากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง 4.6% และผลบวกจากการปรับขึ้นของค่าไฟฟ้าตามสูตร (ค่า Ft)
นอกจากนี้ การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าย่างมีนัยสำคัญยังส่งผลให้มีการบันทึกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสดและเป็นการบันทึกตามมาตรฐานบัญชี
สำหรับแนวทางการบริหารจัดการต้นทุนจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น บี.กริม เพาเวอร์ มีเป้าหมายจะเริ่มนำเข้า LNG ในต้นปี 2566 เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการต้นทุนก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะใช้สำหรับกลุ่มลูกค้า IU เป็นหลัก ทั้งสำหรับโครงการโรงไฟฟ้า SPP ใหม่เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม และโรงไฟฟ้า SPP โรงอื่น ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามสัญญา Terminal Use Agreement กับ PTT LNG เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า SPP เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและประสิทธิภาพสูง การขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง และการควบคุมค่าใช้จ่าย จะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานในช่วงเวลาที่เหลือของปี และตลอดช่วง 12 เดือนข้างหน้าของบริษัท
นอกจากนี้ ยังได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นของค่าไฟฟ้าตามสูตร (ค่า Ft) ทุกๆ 4 เดือน โดยในเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศปรับขึ้นอีก 0.6866 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 0.9343 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มของราคาพลังงานโลก
สำหรับความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปีนี้ มีอีกหลายโครงการ ประกอบด้วย การก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า SPP 4 โครงการ (ABP1R, ABP2R และ BGPM1&2R) เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม กำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมด 560 เมกะวัตต์ มีความคืบหน้า 80-92% มีกำหนดการ COD ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565
นอกจากนี้ ยังมีการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า SPP ใหม่ 2 โครงการ กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 280 เมกะวัตต์ มีความคืบหน้า 33-47% กำหนดการ COD ในปี 2566 และการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าแบบผสมผสานอู่ตะเภา เฟสแรก มีความคืบหน้า 73% กำหนดการ COD ในปี 2566
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.03 บาทต่อหุ้น สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2565 คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 43% ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 25 สิงหาคม และวันที่จ่ายปันผล 9 กันยายน 2565