หลังจากห่างหายกันไปนานร่วม 2 ปี วันนี้รายการ The Voice Thailand ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ให้กับผู้ชมชาวไทยกำลังจะกลับคืนจออีกครั้ง และในคราวนี้พิเศษจัดเต็มกว่าซีซันไหน เพราะเป็น ‘The Voice All Stars’ ซึ่งจะทำให้ความสุขความทรงจำอันอบอุ่นหวนกลับคืนมาอีกครั้ง มากไปกว่านั้น การกลับมาครั้งนี้ยังเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปี ของรายการประกวดร้องเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองไทย THE STANDARD จึงอยากชวนคุณมาถอดรหัสรายการประกวดร้องเพลงซึ่งประสบความสำเร็จที่สุดว่ามีส่วนผสมลับอย่างไร จึงอยู่ยั้งยืนยงมาได้ยาวนานและครองใจผู้ชมได้ขนาดนี้ พร้อมความพิเศษต่างๆ ของซีซันล่าสุดซึ่งไม่เหมือนก่อนหน้าที่เราเคยดูมา! ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นกับตาแล้วว่า นี่คือรายการที่คนไทยตั้งตารอคอยมากที่สุด ด้วยปรากฏการณ์ความนิยมถล่มทลายตั้งแต่ออกอากาศไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ ที่ทำให้ใครๆ ถอนตัวไม่ขึ้น ดูคลิปย้อนหลังวนไปจนถึงตอนนี้นั่นเอง
มิวสิกโชว์ที่สร้างปรากฏการณ์มากมายใน 1 ทศวรรษ
- รายการประกวดร้องเพลงกระแสนิยมเรตติ้งสูงสุด ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา The Voice Thailand เป็นรายการประกวดร้องเพลงที่ได้สร้างปรากฏการณ์มาแล้วมากมาย ถือเป็นรายการประกวดร้องเพลงที่ยังคงครองตำแหน่งแชมป์เรตติ้งสูงสุด และมีแฟนรายการติดตามอย่างเหนียวแน่นตั้งแต่ซีซันที่ 1 จนถึงปัจจุบัน ยังถือเป็นรายการที่สร้างปรากฏการณ์บนออนไลน์ด้วยยอดผู้ชมทาง YouTube สูงถึงกว่า 4 พันล้านครั้งจากทุกซีซัน มียอดการติดตามสูงกว่า 6 ล้านการติดตาม และมีผู้ติดตามบน Facebook Page มากกว่า 6 ล้านคน รวมผู้ติดตามบนทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีมากกว่า 10 ล้านการติดตาม และยังนับเป็นรายการประกวดร้องเพลงขวัญใจมหาชนชาวไทย โดยครองเรตติ้งสูงสุดจนถึงทุกวันนี้
- รายการประกวดร้องเพลงที่ใช้ทุนสร้างมากที่สุดของเมืองไทย ด้วยรูปแบบของรายการที่เฟ้นหาผู้เข้าแข่งขันมากมาย และเป็นรายการโทรทัศน์กึ่งคอนเสิร์ต จึงมีกระบวนการในการผลิตที่ซับซ้อน เต็มไปด้วยรายละเอียด รวมถึงมีบุคลากรและผู้เข้าแข่งขันจำนวนมาก จึงเป็นรายการที่ใช้ทุนผลิตสูงมากถึงกว่า 100-150 ล้านบาทเลยทีเดียว โดยงบส่วนใหญ่ใช้ไปกับงานโปรดักชันและลิขสิทธิ์เพลง
- โชว์ลิขสิทธิ์จากต่างประเทศไม่กี่รายการที่ยังเหลือรอดอยู่ ย้อนอดีตไปในช่วง 10 ปีก่อนนั้น แลนด์สเคปของรายการโทรทัศน์ไทยในยุคเดียวกันนับเป็นช่วงเฟื่องฟูของรายการลิขสิทธิ์ฟอร์แมตจากต่างประเทศมากมาย ซึ่งต่างก็คลายความนิยมจนเลิกสร้างไปหลังจากออกอากาศไม่กี่ซีซัน แต่ไม่ใช่สำหรับ The Voice Thailand ที่นอกจากออกอากาศติดต่อกันมาถึง 8 ซีซันแล้ว ยังแตกไลน์ออกเป็น The Voice Kids อีก 6 ซีซัน และ The Voice Senior อีก 2 ซีซัน
- เวทีแจ้งเกิดให้กับนักร้องเสียงจริงตัวจริงมาแล้วมากมาย ด้วยจุดเด่นคือความสนุก ตื่นเต้น ลุ้น ประทับใจ ที่ผู้ชมได้รับตลอดการชมรายการ รวมถึงการแข่งขันอันเข้มข้นเพื่อเฟ้นหา ‘เสียงจริง ตัวจริง’ ผู้โดดเด่นทั้งเสียงร้อง การถ่ายทอดบทเพลง และการแสดงออกบนเวที ที่ผู้เข้าแข่งขันต่างต้องขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด รวมถึงฝีไม้ลายมือของเหล่าโค้ชที่จะปั้นแต่งให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถฉายแสงโดดเด่นบนเวที จึงทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา The Voice Thailand เป็นรายการประกวดร้องเพลงที่แจ้งเกิดศิลปินหน้าใหม่สู่การเป็นศิลปินระดับแนวหน้าของประเทศไทยมากมาย เช่น นนท์ ธนนท์, เก่ง ธชย, วี วิโอเลต, ฟิล์ม บงกช, แม็กซ์ เจนมานะ, สงกรานต์ รังสรรค์, โบกี้ พิชญ์สินี, ไข่มุก รุ่งรัตน์ ฯลฯ
ไขความลับสูตรสำเร็จ: 3 ผู้อยู่เบื้องหลัง The Voice Thailand
3 บุคคลสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จร่วมทศวรรษ
ของ The Voice Thailand
THE STANDARD ได้คุยกับ 3 บุคคลสำคัญเบื้องหลัง ซึ่งไม่เคยเปิดหน้าให้สัมภาษณ์ที่ไหนมาก่อน และอยู่ร่วมกับความสำเร็จร่วมทศวรรษของ The Voice Thailand มาตั้งแต่ต้น เราสรุปเน้นๆ ให้ทุกคนได้ทราบถึงส่วนผสมแห่งความสำเร็จ ดังนี้
‘โอ๋-พัฒนี จรียะธนา’
กรรมการผู้จัดการ บริษัท Exit 365 จำกัด และ Executive Producer
รายการ The Voice Thailand
‘โอ๋-พัฒนี จรียะธนา’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Exit 365 จำกัด และ Executive Producer ของรายการ The Voice Thailand เล่าให้ฟังว่า รายการ The Voice USA ออกอากาศครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน และได้สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลกด้วยจุดเด่นของการเป็นรายการฟอร์แมตที่แข็งแรงมากๆ จนทำให้ในเวลานั้น The Voice ถือเป็นรายการที่ฮอตมากๆ และมีผู้ซื้อลิขสิทธิ์ไปถึง 65 ประเทศทั่วโลก โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างจากรายการแข่งขันร้องเพลงอื่นๆ ด้วยสูตรลับความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือ
- ‘โชว์ประกวดร้องเพลงที่สร้างความสุข’ ต้องยกเครดิตให้กับ John de Mol ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และเป็นต้นคิดเรียลิตี้ดังในอดีตอย่าง Big Brother หรือ Fear Factor ด้วยความที่ The Voice นั้นให้ความสำคัญกับ ‘การมอบความสุข’ ให้กับผู้ชมตลอดรายการ โดยมี ‘เสียงร้องของผู้เข้าแข่งขัน’ เป็นเครื่องมือในการส่งความสุขให้กับผู้ชมตั้งแต่ในรอบ Blind Audition ที่แม้ไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขันที่สวยหล่อแบบพิมพ์นิยม แต่เป็นผู้เข้าแข่งขันที่มีเสียงคุณภาพ ที่ไม่ว่าจะเป็นใคร หน้าตาอย่างไร หากเสียงของคุณสามารถทำให้เซเลบริตี้โค้ชเสียงจริงตัวจริงของวงการหันมาได้ คุณย่อมจะมีสิทธิ์เลือกว่าจะเข้าทีมไหนก็ได้ กติกาเช่นนี้ทำให้ผู้ชมลุ้นระทึกเอาใจช่วยตลอดทุกช่วงรายการ และเป็นการตอกย้ำถึงคอนเซปต์ ‘เสียงจริง ตัวจริง’ ที่เพียงมีเสียงดีก็สามารถเป็น Someone บนเวทีนี้ได้ การฉายภาพนักร้องเสียงดีได้เข้าใกล้ความฝันอีกขั้น และการที่ผู้ชมได้เห็นนักร้องที่ตัวเองเอาใจช่วยผ่านเข้ารอบและคว้าแชมป์ คือเส้นทางแห่งความสุขที่ The Voice มอบให้ผู้ชมมาตลอดทั้งซีซัน
- ‘โค้ชตัวจริงเสียงจริงในวงการดนตรี’ ไม่ว่าจะเป็นฉบับเมืองนอกหรือเมืองไทย ผู้ทำหน้าที่โค้ชต่างก็มีความรู้และประสบการณ์มากพอ สามารถให้คำแนะนำ ต่อเติมฝัน ขัดเกลา และผลักดันลูกทีมที่อยู่บนเวทีได้ อย่างของ USA ซีซันแรกๆ ก็มีเสียงจริงตัวจริงไร้ข้อกังขา อย่าง คริสตินา อากีเลรา, อดัม เลวีน, เบลก เชลตัน ฯลฯ พอมาเป็นฉบับไทยก็มีเสียงจริงตัวจริงของเมืองไทย อย่าง เจนนิเฟอร์ คิ้ม ซึ่งมีภาพลักษณ์ในฐานะเป็นคนขายเสียง หรืออย่าง ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา เองก็เป็นนักร้อง นักดนตรี ผู้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง หรือ โจอี้ บอย ที่เป็นแรปเปอร์รุ่นใหญ่ ฯลฯ นอกจากนี้โค้ชแต่ละคนยังต้องมีส่วนผสมเคมีที่เข้ากันเพื่อทำให้โชว์ออกมาสนุก มีชีวิตชีวาอีกด้วย
- ‘ทีมงานเบื้องหลังที่เป็นตัวจริงจากทุกแขนง’ รายการทีวีอื่นๆ อาจมีทีมงานเดียว แต่เนื่องจาก The Voice Thailand เป็นสเกลงานใหญ่ และไม่ใช่งานผลิตรายการโทรทัศน์อย่างเดียว แต่นี่คือ ‘การทำโชว์คอนเสิร์ตออกอากาศทางโทรทัศน์’ จึงจำเป็นต้องเลือกทีมงานที่ดีที่สุดและเป็นตัวจริงในงานแต่ละส่วนงาน ไม่ว่าจะเป็นทีมทำ TV Production, ทีมทำเวที, ทีมกำกับภาพ, ทีมแสง, ทีมเสียง, ทีม Music Director, ทีม Show Director ฯลฯ มาประกอบกันภายใต้การดูแลของทีมผลิต คล้ายกับการควบคุมวงออร์เคสตราขนาดใหญ่ที่เครื่องดนตรีแต่ละประเภทจะต้องมาทำงานสอดประสานกัน และที่น่าสนใจคือ ผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญส่วนใหญ่อยู่กับรายการมาตั้งแต่ซีซันแรกจนถึงปัจจุบัน
- ‘ความจริงที่ผู้ชมสัมผัสได้’ การประกวดหรือเรียลิตี้บางรายการอาจมีการสร้างสถานการณ์เพื่อดึงดราม่าให้ผู้คนติดตาม แต่ไม่ใช่สำหรับ The Voice Thailand ที่ให้ความสำคัญกับเสียงและความสามารถของผู้เข้าแข่งขัน รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงในรายการ ซึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ผู้ชมสัมผัสได้ นี่จึงเป็นโชว์น้ำดีที่ทำให้ผู้ชมยังคงติดตามยาวนานถึง 10 ปี
‘ต๋อง-อภิชา สุขแสงเพ็ชร’ ผู้อำนวยการเพลง หรือ Music Director ประจำรายการ The Voice Thailand ผู้อยู่เบื้องหลังการเรียบเรียงเพลงใหม่ให้กับผู้เข้าแข่งขันหลายร้อยคนตั้งแต่ซีซันแรกจนถึงปัจจุบัน เล่าให้ฟังว่า มีรายละเอียดหลายขั้นตอนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังและคนดูอาจไม่รู้ ตั้งแต่การสเกาต์คัดเลือกผู้เข้าแข่งขัน และการทำงานร่วมกันระหว่างทีมดนตรีกับนักร้อง ซึ่งสร้างทั้งโมเมนต์ประทับใจและเซอร์ไพรส์ รวมถึงฟูมฟักให้มีนักร้องประดับวงการมากมายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ต๋อง-อภิชา สุขแสงเพ็ชร
Music Director
- ‘ขั้นตอนการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันที่เข้มข้น’ ทีมมิวสิกจะต้องร่วมสเกาต์คัดกรองผู้เข้าแข่งขันตั้งแต่ต้น สมัยก่อนเรามีการจัดออดิชันเพื่อคัดเลือกผู้สมัครในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ทุกภาคของประเทศไทย โดยต้องฟังผู้สมัครร้องสดทุกคน ต้องมองให้ออกว่าคนไหนมีของ เป็นขั้นตอนที่จะคัดผู้สมัครก่อนเข้ารอบ Blind Audition ซึ่งผู้ชมไม่ได้เห็นขั้นตอนนี้ ในซีซันที่ได้รับความนิยมสูงสุด อย่างซีซัน 2-3 มีผู้สมัครออดิชันมากถึง 2 หมื่นรายทั่วประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้จะต้องคัดกรองสู่รอบ Blind Audition ให้เหลือแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น
- ‘ปฏิบัติกับผู้เข้าแข่งขันในฐานะศิลปิน’ ทีมมิวสิกจะทำหน้าที่เหมือนกับโปรดิวเซอร์เพลง โดยต้องดูให้ออกว่าผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนเป็นอย่างไร ควรที่จะร้องเพลงอะไร อย่างไร และนำเสนอตัวเองอย่างไรตั้งแต่ในรอบ Blind Audtion “ผู้เข้าแข่งขันบางคนมาแบบโดดเด่น มีของ แต่ยังไม่รู้ว่าควรจะแสดงให้คนอื่นเห็นอย่างไร เราก็จะต้องใช้ประสบการณ์แนะนำ ทำงานร่วมกันเพื่อให้แต่ละคนได้แสดงความสามารถ ฉายแสงเปล่งประกายออกมาให้ได้มากที่สุด เมื่อเราปฏิบัติต่อผู้เข้าแข่งขันแบบที่เขาเป็นศิลปินตัวจริงแล้ว การร้องการแสดงทุกอย่างก็จะออกมาจากข้างใน และเต็มไปด้วยความมั่นใจ” จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มีผู้เข้าแข่งขันหลายคนได้แจ้งเกิดกันตั้งแต่ในรอบ Blind Audition
- ‘ปรุงรสให้เข้ากับรสนิยมของคนไทย’ เมื่อทำ The Voice Thailand สิ่งหนึ่งที่ทีมงานต้องปรับคือเรื่องของเพลง “โดยเฉพาะในรอบ Battle ซึ่งของฝรั่งนั้นค่อนข้างจะเป็นการฟาดฟันกัน แต่คนไทยส่วนใหญ่ชอบการดูเอตมากกว่า โดยที่ผ่านมาเรามีการนำเพลงเก่าที่ทุกคนคุ้นหูมาปรับให้เป็นเวอร์ชันเรียบเรียงใหม่ เช่น ปรับสไตล์การร้องหรือทำนองใหม่ หรือใส่ความเป็นไทยอย่างเพลงแหล่ หมอลำ ลูกทุ่ง ให้เข้าหูผู้ฟังชาวไทย” ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาจึงมีเพลงเก่าที่กลับมาดังใหม่จากรายการ และเป็นเวอร์ชันที่ผู้ฟังชื่นชอบ ดูได้จากยอดวิวถล่มทลายของหลายเพลง
‘ติ่ว-พวงพร ตาลเศวต’ เองก็เป็นอีกคนที่อยู่กับ The Voice Thailand มาตั้งแต่ต้น เธอคือผู้ทำหน้าที่ Show Director มาตั้งแต่ซีซันแรก ผู้เป็นเจ้าของเสียง “ผู้เข้าแข่งขันบนเวทีพร้อมค่ะ” ที่แฟนรายการคุ้นหูกันดี เธอคือผู้ที่ทำหน้าที่ให้โชว์ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างไลฟ์คอนเสิร์ตและรายการโทรทัศน์ดำเนินไปได้อย่างลื่นไหล ผสานความต้องการของทีมงานทุกภาคส่วนเพื่อทำให้โชว์ที่ออกมาสมบูรณ์ที่สุด ไปพร้อมๆ กับการสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม
ติ่ว-พวงพร ตาลเศวต
Show Director
- ‘ประสานความต้องการของทีมงานทุกภาคส่วน’ เนื่องจากเป็นโชว์สเกลใหญ่ที่มีหลายฝ่ายและบุคลากรจำนวนมากมาเกี่ยวข้อง หัวใจสำคัญที่โชว์จะประสบความสำเร็จ คือ ‘การประสานงานที่ดี’ ซึ่งนอกจากทีมผลิตรายการจะทำหน้าที่นี้แล้ว ในขั้นตอนของการทำโชว์ยังมีทีม Show Director คอยรันคิวให้ลื่นไหล แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงคอยซัพพอร์ตสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามสคริปต์และนอกสคริปต์ให้ได้ทันท่วงที เช่น บางทีโค้ชจะไปเล่นดนตรีแจมกับผู้เข้าแข่งขัน หรือการเตรียมพร้อมที่จะใช้เทคนิคแสงเสียงร่วมตบมุก ทีมกล้องอยากได้ภาพจากมุมไหนเป็นพิเศษก็ต้องมีการซ้อม เพื่อให้ได้อารมณ์ของโชว์ที่ลื่นไหลสมบูรณ์แบบ จึงต้องมีการประสานความต้องการของทุกภาคส่วน และซัพพอร์ตให้นักร้องได้เปล่งประกายมากที่สุดบนโชว์ของพวกเขา
- ‘รูปแบบรายการแต่ละรอบการแข่งขันน่าตื่นเต้นต่างกัน’ ไม่ว่าจะเป็นรอบ Blind Audition / Battle / Live แต่ละรอบมีโจทย์ กติกา เงื่อนไขไม่เหมือนกัน ให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ชมติดตาม ลุ้น ตื่นเต้นต่อไปได้เรื่อยๆ และยังสามารถรีรันย้อนชมซ้ำมาตลอด 10 ปี
- ‘ซ้อม ซ้อม ซ้อม & ทีมเวิร์กคือกุญแจสำคัญ’ การทำโชว์ที่ใหญ่และมีบุคลากรหลายแขนงขนาดนี้ถือเป็นงานช้าง แต่ด้วยทีมงานที่ดีที่เคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ มองภาพและจุดหมายเดียวกัน โดยเฉพาะในรอบ Live Show ซึ่งเป็นรอบสดที่ต้องอาศัยการซ้อมซ้ำๆ ไม่เพียงแต่การซ้อมการแสดง แต่ต้องซ้อมไปจนถึงการเคลื่อนย้ายฉากให้เป๊ะที่สุด เพราะทุกอย่างถูกจำกัดด้วยเวลา นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสูตรลับความสำเร็จของโชว์ที่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมตลอดหลายปีที่ผ่านมา
The Voice All Stars: ซีซันนี้พิเศษยิ่งกว่าครั้งไหน มีอะไร ทำไมน่าดู
อย่างที่หลายคนก็น่าจะพอทราบกันแล้วว่า The Voice Thailand นั้นจำเป็นต้องหายจากจอไปนานร่วม 2 ปี ด้วยสถานการณ์โควิด ซึ่งที่ผ่านมาอาชีพนักร้องนักดนตรีรวมถึงคนทำเบื้องหลังต่างก็ได้รับผลกระทบจากโควิดกันถ้วนหน้า การกลับมาของ The Voice Thailand จึงเป็นการรียูเนียนที่นอกจากจะให้ความสุขกับผู้ชม ยังเป็นการมอบโอกาสให้กับคนดนตรีและทุกชีวิตที่อยู่เบื้องหลังรายการระดับตำนานนี้อีกครั้ง ซึ่ง Executive Producer ของรายการอย่าง โอ๋ พัฒนี เล่าให้ฟังว่า
“จริงๆ แล้วด้วยความที่หายไปนานเพราะโควิด เราเคยคิดว่าจะเลิกทำ The Voice ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่พอสถานการณ์ดีขึ้นก็ได้โอกาสจากคุณบอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) และช่อง one31 ชวนให้ทำรายการนี้อีกครั้ง ซึ่งตอนแรกก็ยังลังเลใจ เพราะสถานการณ์วันนี้กับรายการโทรทัศน์ไม่ใช่เรื่องง่าย บวกกับรายการของเราเป็นรายการฟอร์มใหญ่ ต้นทุนสูง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเวลานี้ แต่ทันทีที่คุณบอยบอกเราว่าจะให้เวลาในเย็นวันอาทิตย์ ตอนนั้นใจคือมาแล้ว เพราะเรามั่นใจในเวลาช่วงนี้มาก เพราะนี่เคยเป็นเวลาทองของเรา รวมถึงมีรูปแบบของ The Voice All Stars ที่เราก็มีความหวังว่าคนดูจะมีความสุขกับการกลับมาของเสียงที่เขาคิดถึง ซึ่งจริงๆ แล้วเราซื้อลิขสิทธิ์ The Voice All Stars ไว้เป็นประเทศแรก แต่ติดปัญหาไม่สามารถผลิตได้เพราะโควิด พอตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นแล้วก็อยากลองทำดู ตอนนี้ประเทศไทยเลยเป็นประเทศที่ 4 ของโลกที่จะมี The Voice All Stars”
นอกจากนี้ อีกเหตุผลสำคัญของการกลับมาของ The Voice All Stars คือ การให้โอกาสกับนักร้องนักดนตรี รวมไปถึงโปรดักชันเบื้องหลังที่ต่างก็ได้รับผลกระทบหนักจากโควิด
“พวกเราอยู่กันมาตั้งแต่ซีซันแรก พอเกิดสถานการณ์โควิดซึ่งมันกระทบหนักมากกับอาชีพนักร้องนักดนตรี บางคนสิ้นหวัง บางคนต้องเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่น เราเลยยิ่งรู้สึกว่าต้องทำซีซันนี้ให้สำเร็จ เราอยากให้โอกาสพวกเขาได้กลับมายืนบนเวทีแห่งนี้อีกครั้ง มาสัมผัสความสุข ความหวัง ความเชื่อมั่น แบบที่เขาเคยได้ และเราเชื่อว่าคนดูจะได้อะไรจากสิ่งนี้เช่นกัน”
เหตุผลดีๆ ที่ควรตั้งตารอดู The Voice All Stars
- การกลับมาอีกครั้งของ The Voice หลังหายไปนาน 2 ปี ด้วยโควิด
- พิเศษยิ่งกว่าซีซันไหน ด้วยการรวม ‘เสียงจริง ตัวจริง’ จากทุกซีซัน (รวมถึง The Voice Kids) ที่เคยสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมมาแล้ว มาแข่งขันกันอีกครั้ง
- นำทัพโดย 4 โค้ชซูเปอร์สตาร์ โค้ชก้อง-สหรัถ สังคปรีชา, โค้ชคิ้ม-เจนนิเฟอร์ คิ้ม, โค้ชโจอี้ บอย และ โค้ชป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง ที่จะมาเป็นโค้ชหลักในซีซันนี้ พร้อมด้วยเหล่าโค้ชจากทุกซีซัน จะยกทัพมาสร้างสีสันให้กับรายการแบบครบชุด
- โชว์พิเศษจากแชมป์และศิลปิน The Voice Thailand ที่ยกขบวนกันมาอย่างคับคั่ง สร้างทั้งความสนุกและความอบอุ่นให้กับผู้ชม
“อยากชวนให้แฟนๆ กลับมาดู The Voice All Stars มาร่วมให้โอกาสคนที่คุณเคยรักเคยชื่นชอบ หลังจากที่เติบโตผ่านอะไรมามากมาย ซึ่งเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกี่ยวกับพวกเขา วันนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะมาโชว์ศักยภาพ เรามองว่า The Voice All Stars มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ The Voice เป็นรายการที่ให้โอกาสคน แล้วคราวนี้เขากลับมาอีกครั้งเพื่อตามหาความฝันของเขา อยากให้แฟนๆ ที่เคยรัก ชื่นชอบเขา และแฟนรายการ มาร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้กับพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีอะไรที่แตกต่างไปก็ได้ ด้วยทั้งวัยที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ผ่านเรื่องราวในชีวิตมามากขึ้น เขามีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร โค้ชคนเดิมจะหันเก้าอี้ไปหาเขาอีกครั้งไหม แล้วเขาจะเลือกโค้ชคนเดิมไหม ซึ่งเซอร์ไพรส์ต่างๆ เหล่านี้มีอยู่เยอะมาก เป็นสิ่งที่น่าลุ้นน่าตื่นเต้นมาก และแน่นอนว่าผู้ชมจะได้รับความสุขจากเสียงร้องคุณภาพและโชว์ที่จัดเต็มเช่นเคย”
รายการ The Voice All Stars ซีซันพิเศษนี้จะมีทั้งหมด 13 ตอน ประกอบด้วย รอบ Blind Audition ซึ่งผู้ชมจะได้ร่วมลุ้นไปพร้อมกับเหล่าโค้ชว่า ‘เสียงจริง ตัวจริง’ คนไหนจะกลับมาร่วมประชันในครั้งนี้กันบ้าง และเราจะยังจำเสียงที่คุ้นเคยได้หรือไม่ โค้ชคนเดิมจะยังกดปุ่มหมุนเก้าอี้แดงหันมารอรับเข้าทีม และเขายังจะเลือกโค้ชคนเดิมเพื่อลุ้นโอกาสครั้งที่ 2 หรือเปล่า เพื่อไปต่อที่รอบ Battle ประชันเสียงเพลงรอบ Semi Final ที่จะเข้มข้นและดุเดือดมากขึ้น ทั้งเพลงและโชว์ที่แต่ละทีมจะงัดหมัดเด็ดมาดวลกันเพื่อให้ลูกทีมของตนเข้าสู่รอบ Final ซึ่งจะเป็นการแข่งขันแบบ Live Show ที่ผู้ชมทางบ้านจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครจะเป็นแชมป์ The Voice All Stars เสียงจริง ตัวจริง ประจำซีซันนี้ ร่วมลุ้นและเอาใจช่วยผู้เข้าแข่งขันพร้อมกัน ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00 น. ทางช่อง one31