วันนี้ (20 กรกฎาคม) ที่อาคารรัฐสภา นิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชี้แจงหลังมีรายชื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่าข้อมูลการอภิปรายครั้งนี้มาจากการมโนคิดเองทั้งนั้น และเป็นข้อมูลเก่า รายชื่อที่ผู้อภิปรายกล่าวอ้างมาทั้งหมด ตนเองไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวและขอให้ผู้อภิปรายรับผิดชอบ
ฉะนั้นตนจึงขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น สำหรับกรณีเรื่องการไม่ชำระค่ารถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา นั้นเป็นการจัดซื้อก่อนตนเองเข้าไปเป็นนายก อบจ.สงขลา ขณะนั้นตอนเข้ารับตำแหน่งได้มอบหมายให้รองนายก อบจ.สงขลา ตรวจสอบ และให้ปลัด อบจ.สงขลา เป็นประธานตรวจรับโครงการ และเสนอเข้ามาที่ตน
ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าโครงการดังกล่าวมีราคาแพงและมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการใช้งานหรือไม่ ทำให้ต้องสั่งให้ตรวจสอบ ต่อมาบริษัทที่ชนะการประมูลก็มารับรถไปตรวจ และเมื่อคณะกรรมการตรวจรับยืนยันว่ารถใช้งานได้ตามคุณสมบัติ ตนจึงให้นำรถไปขึ้นทะเบียนที่กรมการขนส่งจังหวัดเพื่อให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ อบจ.สงขลา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้ประวิงเวลาแต่อย่างใด
นิพนธ์กล่าวต่ออีกว่า ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2557 รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาส่งหนังสือมาถึง อบจ.สงขลา ว่ามีการร้องเรียนถึงความไม่โปร่งใสและให้ระงับการจ่ายเงิน จึงได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบตามคำสั่ง จากนั้นรองนายก อบจ.สงขลา ได้แจ้งให้บริษัทชนะการประมูลทราบถึงการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบถึงความโปร่งใส
ต่อมา บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ได้ฟ้องศาลปกครองกลาง ผลการสอบของคณะกรรมการพบว่าเกิดความไม่โปร่งใส ตนเองจึงได้รายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินทราบ ในปีเดียวกันทางผู้ว่าฯ แจ้งกลับมาว่าต้องปฏิบัติตามหนังสือสั่งการของกระทรวงมหาดไทยว่าเมื่อมีข้อพิพาทในศาล ห้ามไม่ให้ผู้บริหารดำเนินการใดๆ ที่อาจเป็นการละเมิดอำนาจศาล
ตนจึงต้องดำเนินการตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้กำกับดูแล จึงจำเป็นต้องรอให้ศาลพิพากษาถึงที่สุดก่อน และต่อมาปี 2558 บริษัทได้ขอคืนหลักประกัน ซึ่ง อบจ.สงขลา คืนให้พร้อมระบุว่า เมื่อการจัดซื้อผิดกฎหมาย สัญญาซื้อขายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ที่สำคัญบริษัทไม่ได้โต้แย้งทาง อบจ.สงขลาแต่อย่างใด และตามกฎหมายนั้นเมื่อเป็นโมฆะแล้วจึงไม่จำเป็นต้องมีการบอกเลิกสัญญา ส่วนการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีการปลอมลายมือชื่อรับซองเอกสาร จึงแจ้งความให้พนักงานสอบสวนเข้ามาดำเนินคดีและสรุปสำนวนสั่งฟ้องในความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารและฮั้วประมูล
แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นกรณีการฮั้วประมูล จึงจำเป็นต้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาดำเนินการ ก่อนที่ในเวลาต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ออกหมายจับทุกบริษัทที่เข้าร่วมการประมูลซื้อทั้งหมดในความผิดฐานใช้เอกสารและฮั้วประมูล ปรากฏว่าจำเลยบางรายรวมถึงบริษัทชนะการประมูลหลบหนีออกไปต่างประเทศ
นิพนธ์กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นสาเหตุที่ อบจ.สงขลา ไม่จ่ายเงิน เนื่องจากการซื้อขายไม่ได้เป็นไปตามกฎหมาย เพราะมีการฮั้วประมูล ส่วนกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหาตนเรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพราะไม่ยอมจ่ายเงินนั้น ส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. เพราะเห็นว่าเมื่อปลัด อบจ.สงขลา ในฐานะรับมอบอำนาจอนุมัติสั่งการ ลงนามสัญญาซื้อขายในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่ไปลงนามรับรถแทนนายก อบจ.สงขลา ถึง 51 ล้านบาท จึงเป็นการตรวจสอบมิชอบ ดังนั้นการชะลอการจ่ายเงินจึงเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องแล้ว เพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐและภาษีของประชาชน
ทั้งนี้ นิพนธ์กล่าวชี้แจงต่อว่า เมื่อไม่นานมานี้อัยการสูงสุด (อสส.) ได้มีคำสั่งไม่สั่งฟ้องในคดีคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหาตนเอง เพราะมีข้อที่ไม่สมบูรณ์ และมีคำสั่งคืนสำนวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 และขณะนี้ได้ฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่ง ป.ป.ช. ที่ให้พ้นจากตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา และแม้จะมีกรณีที่มีผู้ไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าตนเองขาดคุณสมบัติหรือไม่และขอให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว แต่ศาลมีคำสั่งว่าผู้ถูกร้องคือตนเอง ยังไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง
“พวกท่านมาโวยวายว่าทำไมผมยังไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็หวังว่าเมื่อผมเอาหลักฐานมาแสดงแบบนี้แล้วน่าจะเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเสียที และคดีที่ถูกฟ้องในชั้นศาลปกครองให้ อบจ.สงขลา ต้องชำระค่าดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นั้น ขณะนี้ อบจ.สงขลา ได้ส่งคำร้องให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา 75 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง ดังนั้นสรุปข้อกล่าวหาของพวกท่านต้องเลิกได้แล้ว” นิพนธ์กล่าว
สำหรับกรณีการออกเอกสารสิทธิบนเกาะนุ้ยนอก จังหวัดกระบี่ โดยมิชอบนั้น นิพนธ์กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้กรมที่ดินดำเนินการตามกฎหมายเคร่งครัดทั้งทางวินัยและอาญาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 จึงยืนยันได้ว่าตนเองไม่ได้ละเลย กรมที่ดินตั้งคณะกรรมการสอบสวนและมีมติเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 12360 และมติให้ผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 4 ราย ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวง (อ.ก.พ.) ของกรมที่ดิน เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
“ผมมีนโยบายมาตลอดว่าถ้าที่ดินใดเป็นที่ดินของรัฐจะออกโฉนดให้ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้เป็นที่ดินของรัฐและมีประชาชนเข้ามาทำกินและปฏิบัติตามกฎหมาย ก็จะดำเนินการออกสำรวจและออกโฉนดที่ดินให้ เพื่อให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินและลดความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน” นิพนธ์กล่าว
ส่วนกรณีที่กล่าวหาว่าเหตุใดการดำเนินการกรณีพิพาทที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ล่าช้ากว่ากรณีเพิกถอนที่ดินในเขตป่าไม้จังหวัดราชบุรีนั้น นิพนธ์ยืนยันว่า ถ้าที่ดินใดเป็นของรัฐจะไม่สามารถออกโฉนดได้ และการดำเนินการที่ผ่านมาตนก็มีความระวังตลอดว่าจะต้องไม่ให้เป็นประเด็นทางการเมือง
โดยกรณีจังหวัดราชบุรีที่เกี่ยวข้องกับมารดาของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เมื่อปี 2563 ได้มีผู้ร้องไปที่กรมป่าไม้และแจ้งให้กรมที่ดินเพิกถอน กรมที่ดินมีคำสั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ใช้ระยะเวลาตรวจสอบประมาณ 1 ปี และมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ 59 แปลงในเขตป่าไม้ถาวร
ซึ่งสาเหตุที่ดำเนินการได้เพราะกรมป่าไม้เข้ามานำชี้ในพื้นที่ชัดเจนและใช้ดาวเทียมรังวัดที่ดิน ต่างจากกรณีเขากระโดงที่พบว่าเป็นข้อโต้แย้งในเรื่องแผนที่ท้ายที่ดิน กรมที่ดินขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยมานำชี้ที่ดิน แต่การรถไฟฯ แจ้งว่าไม่ต้องนำชี้ เพราะให้ใช้ตามแผนที่ท้ายฟ้อง ซึ่งเป็นพยานหลักฐานในคดี
สำหรับนโยบายการให้ต่างชาติถือครองที่ดิน ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดให้คนต่างชาติถือครองที่ดินในประเทศไทยได้ตามที่กฎหมายกำหนดเมื่อปี 2542 และมีกฎกระทรวงมหาดไทยกำหนดเงื่อนไขว่าต้องมีเงินลงทุน 40 ล้านบาท และต้องลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และการถือครองที่ดินทำได้เฉพาะเพื่อการอยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่ในเขตพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น ใช้บังคับมาถึงปัจจุบันมีคนต่างชาติใช้สิทธิเพียง 10 ราย บางรายขายคืน บางรายได้สัญชาติไทยแล้ว จึงเหลือผู้มีสิทธิเพียง 8 รายเท่านั้นในปัจจุบัน
นิพนธ์กล่าวทิ้งท้ายว่า มาถึงวันนี้ประเทศเราเจอวิกฤตโควิดและต้องการให้เกิดการลงทุนในประเทศ จึงแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อลดระยะเวลาการลงทุนเหลือเพียง 3 ปีเท่านั้น และกำหนดให้เฉพาะคน 4 กลุ่มเท่านั้น ได้แก่
- ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ
- ผู้มีความมั่งคั่งสูง
- ผู้ต้องการทำงานในประเทศไทย
- ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ
กระทรวงมหาดไทยแก้ไขแค่ตรงนี้ ที่เหลือเป็นไปตามกฎหมายเดิมทั้งหมด จึงไม่มีการขายชาติใดๆ ทั้งสิ้น