วันนี้ (13 กรกฎาคม) ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ให้สัมภาษณ์รายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ดำเนินรายการโดย ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และ อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ เผยแพร่ทางช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30
กรณี บุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ และ ไผ่ ลิกค์ ส.ส. กำแพงเพชร พรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นกรรมการวิปรัฐบาล ได้ลาออกจากการเป็นวิปรัฐบาล ภายหลังการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 4 จังหวัดลำปาง ที่ผ่านมา พรรคเศรษฐกิจไทยแพ้ให้กับผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคเสรีรวมไทย
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ผลการเลือกตั้งที่จังหวัดลำปางทำให้พรรคเศรษฐกิจไทยเสียทรงมวยไปเยอะ กังวลหรือไม่ กลุ่ม 16 จะผละหนีและคนในพรรคลังเลจะออกจากพรรค
ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่า ถ้าเป็นหัวหน้าพรรคท่านอื่นอาจจะมีปัญหาอย่างที่ผู้ดำเนินรายการถามถึง แต่ส่วนตัวรู้ตัวเองดีว่าเกิดอะไรขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งมีผลออกมาแบบที่เราไม่คาดคิดว่าจะออกมาอย่างนี้
ตนเองและคณะกรรมการบริหารพรรคก็ได้หารือกันว่า ต้องมานั่งทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นและปัจจัยสำคัญที่เกิดขึ้น เราย้อนไปถึงการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ทราบข้อมูลว่า ฐานคะแนนเลือกตั้งของเราในนามพลังประชารัฐได้ประมาณ 30,568 คะแนน แต่โดยภาพรวมคะแนนพลังประชารัฐ จังหวัดลำปางทั้ง 4 เขต เราได้ 114,000 กว่าคะแนน ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าฐานของเรามีเท่านี้
แต่พอเลือกตั้งซ่อมปี 2563 เนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ตอนนั้นผลงานรัฐบาลในพื้นที่เขตก็มี โดยเฉพาะเรื่องการจัดที่ทำกินและการแก้ปัญหาเรื่องน้ำโดย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งพี่น้องในพื้นที่ก็ได้รับประโยชน์จากผลงานของรัฐบาล การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นการสู้กันระหว่างพรรคเสรีรวมไทยกับพลังประชารัฐ ผลการเลือกตั้งครั้งนั้นเราได้ประมาณ 62,000 คะแนน เสรีรวมไทยได้ประมาณ 39,000 คะแนน
“แต่ว่าสิ่งที่น่าสังเกตคือ การเลือกตั้งครั้งนี้ คะแนนสวิงกลับ ซึ่งเราคงไปโทษรัฐบาลไม่ได้ แต่เราลงพื้นที่เราทราบว่าพี่น้องประชาชนเขาก็บ่นกับทางผม ซึ่งส่วนใหญ่ผู้นำท้องถิ่นเป็นคนที่ผมวางไว้ทั้งนั้น เขาก็บ่นประมาณว่า ประชาชนไม่ค่อยสบายใจในเรื่องความไม่ชัดเจนของพรรคเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะตัวผมเองสรุปแล้วอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ซึ่งการหาเสียงครั้งนี้ พอเป็นรูปแบบลักษณะอย่างนี้ โดยเฉพาะพรรคเสรีรวมไทยหาเสียงประเด็นเดียวคือความไม่แน่นอนในจุดยืนของพรรคเศรษฐกิจไทย ทำให้เราพ่ายแพ้ในครั้งนี้ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกยังสบายใจอยู่ คือฐานคะแนนเสียงเรายังเท่าเดิม” ร.อ. ธรรมนัสกล่าว
ผู้ดำเนินรายการถามว่า เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่
ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่า ผลการเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อไทยได้ 42,000 คะแนน พรรคอนาคตใหม่ได้ 26,000 คะแนน เราได้ 30,000 คะแนน ดังนั้น คะแนนปี 2563 เราได้ 62,000 ก็เท่ากับว่า เพื่อไทยก็ยังมาหาเราบ้าง แต่สำหรับอนาคตใหม่ เขาคงเทให้ เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส
ขณะที่การเลือกตั้งปี 2562 พรรคเสรีรวมไทยไม่มีคะแนน ไม่อยู่ในสายตา ต้องยอมรับความเป็นจริง ดังนั้น ณ เวลานี้ เราเหมือนสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายรัฐบาล ประมาณนั้น
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน บ่นว่าพรรคไม่ชัดเจน อยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ตรงนี้หมายความว่าชาวบ้านไม่เอาขั้วรัฐบาลใช่หรือไม่
ร.อ. ธรรมนัส กล่าวว่า ชาวบ้านในจังหวัดภาคเหนือตอนบน ตั้งแต่ แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, ลำพูน, เชียงราย, พะเยา, แพร่, น่าน รวมถึงลำปาง ชัดเจนไม่เอารัฐบาล
ผู้ดำเนินรายการถามว่า เป็นจุดเปลี่ยนทำให้พรรคเศรษฐกิจไทยจะต้องเลือกไปอยู่ฝั่งฝ่ายค้านใช่หรือไม่
ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ถูกขับออกจากการเป็นรัฐมนตรี เราก็มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าอยู่ข้างประชาชน แต่ประชาชนไม่เข้าใจคำว่าอยู่ข้างประชาชน เพราะยังเห็นโหวตเรื่องงบประมาณปี 2566 อยู่
ดังนั้น ต้องประกาศชัดเจนว่า สรุปแล้วเราควรจะกลับมาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติให้ชัดเจนไปเลย ซึ่ง ณ เวลานี้ ในยุคนี้ การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ชัดเจนกลับกลายเป็นกลุ่มเดียวกัน ยกเว้นฝ่ายค้านเท่านั้นที่แสดงตัวออกมาชัดเจน
ดังนั้น พรรคเศรษฐกิจไทยควรจะแสดงจุดยืนให้ชัดเจนไปเลยว่า เราควรจะทำหน้าที่ในฐานะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้ชัดเจนไปเลย
ผู้ดำเนินรายการถามว่าการขยับจุดยืนอย่างนี้จะเสียมวลชน เสียพื้นที่ทางการเมืองในภาคอื่นๆ หรือไม่
ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่า “ผมไม่ได้ว่าผมดี แต่ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีและออกจากรัฐมนตรี ผมเป็นนักการเมืองที่อยู่ในพื้นที่มาตลอด ไม่ใช่เฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสาน ผมเดินทางทุกจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด ฉะนั้น เรารับทราบถึงความรู้สึกพี่น้องประชาชนดี สถานการณ์ ณ วันนี้บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตโรคระบาด ที่สำคัญที่สุด วิกฤตเรื่องปากท้อง วิกฤตเศรษฐกิจซึ่งเป็นเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน
ดังนั้น สิ่งที่สะท้อนไปถึงว่าที่ผู้สมัครของพรรคเศรษฐกิจไทยทั้ง 77 จังหวัด ว่าที่ผู้สมัครของพรรค ก็ยอมรับว่าเราควรแสดงจุดยืนให้ชัดเจน เพราะประชาชนเบื่อหน่ายในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้น ถามว่าจะทำให้เราเสียมวลชนภาคอื่นไหม ผมมั่นใจว่าเสียงสะท้อนจากว่าที่ผู้สมัครของเราก็คือเสียงสะท้อนจากประชาชน” ร.อ. ธรรมนัสกล่าว
ผู้ดำเนินรายการถามว่า การประกาศจะไปร่วมทำงานกับฝ่ายค้าน หมายถึงพรรคเพื่อไทยหรือไม่
ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่า ณ เวลานี้ เราประกาศตัวชัดเจนโดยให้บุญสิงห์และไผ่ลาออกจากการเป็นกรรมการประสาน หรือวิปรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาเราเป็นต่อเนื่องมาจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ แต่เมื่อเราออกมาแล้ว ควรจะให้มันชัดเจน แต่โดยมารยาททางการเมือง ณ เวลานี้ ยังไม่ได้คุยกับผู้นำฝ่ายค้าน ถามว่าเราอยู่ฝ่ายค้านร้อยเปอร์เซ็นต์หรือยัง ก็ยัง แต่เป็นกระบวนการต่อไปที่จะนั่งคุยต่อ
ส่วนจะมีผลต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่า เราประกาศว่าเราทำหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบฝ่ายนิติบัญญัติ ก็คงจะต้องทำงานไปทิศทางเดียวกันกับฝ่ายค้าน
ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่า ได้คุยโทรศัพท์กับ พล.อ. ประวิตรแล้วเมื่อวาน ว่าขออนุญาตประกาศจุดยืนของพรรคให้ชัดเจน ได้ชี้แจงเหตุผลให้ท่านฟังแล้ว แล้วเมื่อเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ จะไปนำเรียนท่านอย่างเป็นทางการ
ได้เล่าให้ พล.อ. ประวิตรฟัง ผลการเลือกตั้งที่จังหวัดลำปางเกิดจากสาเหตุอะไร ซึ่งในฐานะที่เราเป็นพรรคที่อยู่ตรงกลางระหว่างเขาควาย 2 ข้างมันไม่ชัดเจน ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ได้สนับสนุนเรา เราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากฝ่ายรัฐบาล อีกทั้งยังถูกกระทำในหลายๆ เรื่องซึ่งไม่อยากพูดตรงนี้ ในขณะเดียวกัน อีกข้างหนึ่งของเขาควายก็ไม่ได้สนับสนุนเรา ฉะนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องมานั่งอยู่ตรงกลางเขาควาย ก็ได้อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็เข้าใจ ท่านไม่ได้ตัดพ้อ ท่านเข้าใจ ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพับถือ ท่านฟังเหตุผลของลูกน้อง
ผู้ดำเนินรายการถามในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประวิตรขอไม่ให้อภิปรายใครบ้าง ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่า ไม่ได้ขอใครเลย
ถามว่ามีโอกาสที่ ร.อ. ธรรมนัส และพรรคเศรษฐกิจไทย จะย้อนกลับไปร่วมงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่
ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่า การเมืองไม่มีอะไรแน่นอน ทุกอย่างเป็นไปได้หมด
ส่วนการพูดคุยกับฝ่ายค้านคงจะเกิดขึ้นเมื่อกลับกรุงเทพฯ วันที่ 15 กรกฎาคม ซึ่งนัดไว้หลายฝ่ายเช่นกัน