EIC ชี้อุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2565 ส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเสี่ยงจากสงครามและปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่ยืดเยื้อ คาดยอดผลิตรถยนต์โตได้แค่ 2% หรือ 1.72 ล้านคัน
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (Economic Intelligence Center: EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกบทวิเคราะห์อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย โดยระบุว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นแต่เป็นอัตราเติบโตที่ชะลอลงเล็กน้อยจากคาดการณ์เดิมในช่วงต้นปี โดยคาดว่ายอดผลิตรถยนต์ในปี 2565 จะขยายตัวราว 2% หรืออยู่ที่ 1.72 ล้านคัน จากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่อาจกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตรถยนต์ และปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ รวมทั้งต้นทุนการผลิตรถยนต์ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบต่างๆ
สำหรับยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2565 คาดว่าจะขยายตัว 2.8%YoY หรืออยู่ที่ราว 7.8 แสนคัน ชะลอลงจากคาดการณ์เดิม ณ ต้นปีที่ 8.2 แสนคัน ซึ่งแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน อีกทั้งทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นคาดว่าจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคยังฟื้นตัวได้จำกัด
ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์ในประเทศปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัว 2.1%YoY หรืออยู่ที่ราว 0.98 ล้านคัน มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยังคงเป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ตามการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปที่มีแนวโน้มชะลอลง
EIC ระบุว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ฟื้นตัวได้ดีในปีนี้จะมาจากกลุ่มรถบรรทุกและกลุ่มรถจักรยานยนต์ ขณะที่กลุ่มรถยนต์นั่งและรถโดยสารฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่ายอดจดทะเบียนรถโดยสารและรถบรรทุกจะขยายตัวที่ 3.1%YoY จากปัจจัยหนุนเรื่องโครงการก่อสร้างของภาครัฐทั้งในส่วนของการก่อสร้างทั่วไปและโครงการเมกะโปรเจกต์ แต่สำหรับกลุ่มรถโดยสาร (รถบัส) นั้นยังคงมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ ตามภาคการท่องเที่ยว แต่คาดว่าจะสามารถทยอยฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังตามนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล
ส่วนยอดขายกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลปี 2565 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ โดยคาดว่ายอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะขยายตัวอยู่ที่ 1.1%YoY จากปัจจัยหนุนในการคลายล็อกดาวน์และการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่ยังคงต้องติดตามปัญหาภาวะเงินเฟ้อและราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นและอาจส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง
สำหรับยอดขายรถจักรยานยนต์ในประเทศและยอดส่งออกรถจักรยานยนต์ปี 2565 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องที่ 5.2% หรืออยู่ที่ราว 1.69 ล้านคัน โดยได้รับปัจจัยหนุนต่อเนื่องจากธุรกิจเดลิเวอรี, อีคอมเมิร์ซ และรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้น รวมไปถึงความนิยมในรถจักรยานยนต์ราคาสูงที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีนและกลุ่มสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ของไทยจะมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง ได้แก่
- ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกมีแนวโน้มยาวนานกว่าที่คาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังอุตสาหกรรมปลายน้ำอย่างรถยนต์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ในการผลิตด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและรถยนต์ EVs
- ต้นทุนวัตถุดิบต่างๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นในตลาดโลก ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานการผลิตรถยนต์ไทย เนื่องจากการคว่ำบาตรรัสเซียทำให้ราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบสินค้า Commodities หลายตัวในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาก และทำให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ปรับตัวจะสูงขึ้นตามไปด้วย
- แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ EVs ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อซัพพลานเชนอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) ยกเว้นผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์บางประเภท เช่น โครงรถ ตัวถัง ระบบช่วงล่าง เบาะนั่ง ล้อรถ เป็นต้น ซึ่งจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนประเภทอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ EVs
- แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ Car Sharing และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเป็นเจ้าของทรัพย์สินน้อยกว่าคนรุ่นเก่า อาจส่งผลต่อความต้องการรถยนต์ในระยะต่อไป
EIC ระบุอีกว่า จากประเด็นความเสี่ยงในข้างต้น ทั้งปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์, ราคาต้นทุนวัตถุดิบ, แนวโน้มตลาด EVs และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ดังนี้
- จากประเด็นปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และปัญหาราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาแหล่งวัตถุดิบจากแหล่งผลิตใหม่ๆ หรือเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบชนิดอื่นทดแทน
- จากแนวโน้มความต้องการรถยนต์ EVs ในตลาดโลก ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ จะต้องมีการปรับแผนการผลิตรถยนต์ที่สอดรับกับนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ สำหรับกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์บางประเภทที่ยังสามารถใช้ร่วมกันได้ระหว่างรถยนต์ 2 ประเภท จะต้องมีการพัฒนาคุณภาพการผลิตเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ EVs และสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ไม่สามารถใช้ร่วมกับรถ EVs ได้ อาจจะต้องมีการพัฒนาต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ หรือขยายธุรกิจไปยังตลาดชิ้นส่วนทดแทน (REM)
- แนวโน้มเทรนด์ธุรกิจ Car Sharing ที่จะนำไปสู่ธุรกิจใหม่ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความต้องการขับขี่รถยนต์แต่ไม่ได้มีความต้องการถือครองไว้ใช้ในระยะยาว ทั้งนี้ การให้บริการเช่ารถยนต์ระยะสั้น ที่ให้บริการในหลายรูปแบบทั้งรายชั่วโมงและรายเดือน จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP