วันนี้ (3 กรกฎาคม) สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมด้วย วัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรค ลงพื้นที่ตลาดบางเขน เขตหลักสี่ เพื่อสำรวจราคาสินค้าเครื่องอุปโภค บริโภค พร้อมจับจ่ายใช้สอยสินค้าภายในตลาด เช่น เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ พร้อมทั้งพูดคุยรับฟังปัญหา และให้กำลังใจพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาค่าครองชีพแพง
จากนั้นสนธิรัตน์ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่าวันนี้ในฐานะตัวแทนพรรคสร้างอนาคตไทยมาลงพื้นที่ เนื่องจากต้องการมารับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนโดยตรง ทั้งพ่อค้า แม่ค้า และผู้ซื้อ ว่าในสภาวะเช่นนี้เขารู้สึกอย่างไร วันนี้ผู้ค้าและประชาชนลำบากเรื่องของแพงและความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาลที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข การเดินสำรวจตลาดครั้งนี้พ่อค้าแม่ค้าดีใจ เพราะจะได้ส่งเสียงสะท้อนไปสู่ผู้รับผิดชอบในรัฐบาล ปัญหาของแพงเป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาลที่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ไข สินค้าราคาแพงขึ้นมากเกือบทุกรายการ ยกเว้นบางอย่างที่ไม่สามารถขึ้นราคาได้ก็ต้องอดทนกันไป เช่น แม่ค้ารับของมาราคาขึ้นก็ไม่กล้าขึ้นราคาลูกค้า เพราะเกรงว่าลูกค้าจะรับไม่ไหว
สนธิรัตน์กล่าวอีกว่า วันนี้เราต้องกลับมาสะท้อนปัญหาของแพงไปให้ถึงรัฐบาล พรรคสร้างอนาคตไทยมีแนวคิดเรื่องการแก้ปัญหาของแพง คือวันนี้ทางรัฐบาลจะต้องโฟกัสให้ได้ในเรื่องของแพง เนื่องจากเป็นปลายทางที่กระทบพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกครัวเรือน เพราะจะต้องซื้อของกินของใช้ อย่างเนื้อหมูราคาแพงมาก สินค้าต่างๆ ทั้งของกินของใช้มีการปรับราคาขึ้นทั้งสิ้น เรื่องของแพงเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องเข้ามากำกับและควบคุมตั้งแต่ต้นทาง เพราะของแพงมาจากหลายมิติ
มิติแรกคือเรื่องค่าขนส่ง ที่กระทบจากราคาพลังงานที่รัฐบาลจะต้องเจอปัญหาดังกล่าวไปอีกอย่างน้อยถึงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า
ซึ่งสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ค่าขนส่งจะคำนวณอยู่ที่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ของราคาขาย แต่ก็ไม่ใช่ค่าขนส่งอย่างเดียว ยังมีส่วนประกอบอื่นด้วย โดยเฉลี่ยคร่าวๆ ตนคิดว่าราคาน้ำมันแพงจะมีผลต่อราคาสินค้าปลายทางอย่างน้อย 3-4 เปอร์เซ็นต์
สนธิรัตน์กล่าวต่อไปว่า มิติที่สองคือต้นทุนการผลิตอาหาร ซึ่งหัวใจสำคัญคือเรื่องต้นทุนอาหารสัตว์ ปุ๋ยเคมี ตรงนี้อยากเสนอให้รัฐบาลต้องไปดูตั้งแต่ต้นทาง เพราะวิธีแก้ปัญหาจะดูแต่เพียงปลายทาง หรือการกำกับควบคุมราคาสินค้าอย่างเดียวคงไม่ได้ เช่น ต้นทุนอาหารสัตว์ที่แพงขึ้นจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ เช่น กากถั่วเหลือง ข้าวสาลี ที่ประสบปัญหาทั่วโลกจากภาวะสงคราม ขณะที่ข้าวโพดและมันสำปะหลังในประเทศก็ราคาแพงเช่นกัน ซึ่งรัฐบาลต้องใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้ ต้องลงไปดูทีละรายการที่เป็นปัญหากระทบต่อราคาสินค้าของประชาชน รวมถึงการใช้มาตรการลดหย่อนภาษีต่อสินค้านำเข้าที่เป็นวัตถุดิบ เป็นต้น
“ข้อเสนออันหนึ่งคือให้ลองไปดูว่ารัฐบาลสามารถให้ความช่วยเหลือในการจัดหาปุ๋ยราคาถูกให้กับพี่น้องเกษตรกรในแนวคิดคล้ายๆ การประกันรายได้ได้หรือไม่ แต่การประกันรายได้เราไปประกันราคาปลายทาง แต่ขณะเดียวกันต้นทางมันขึ้น จึงควรจัดสรรปุ๋ยราคาถูกให้พี่น้องเกษตรกรหนึ่งครัวเรือนต่อจำนวนไร่ที่จะมีต้นทุนปุ๋ยราคาถูก ก็จะเป็นการชดเชยช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มนี้ ผมคิดว่านี่คือการแก้ปัญหาต้นน้ำของรายการสินค้าแพง ดังนั้นข้อเสนอแนะโดยรวมคือต้นน้ำที่สินค้าแพงมีความอ่อนไหวต่อราคาสินค้า อยากให้รัฐบาลเข้าไปดูในรายละเอียด ไม่ใช่ดูแค่ปลายทางว่าต้นทุนขึ้นหรือไม่ ขึ้นเท่าไร ปรับราคาหรือไม่ปรับราคา ผมคิดว่าความลำบากของพี่น้องประชาชนนั้นรออยู่ ดังนั้นการเข้าไปลงลึกโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกาะติด และดูองค์ประกอบว่าอะไรที่จะอ่อนไหวต่อราคาสินค้า เป็นความจำเป็นที่ต้องร่วมมือกันของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และส่วนงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง” สนธิรัตน์กล่าว
สนธิรัตน์กล่าวต่อไปว่า มิติสุดท้ายคือการบริหารจัดการต้นทุนสินค้าไปสู่มือพี่น้องประชาชน ซึ่งตนคิดว่าขณะนี้ผู้ค้าปลีก ค้าส่งก็ลำบาก ส่งต่อราคาสินค้าไม่ไหว ต้นทุนแพงขึ้น เรื่องนี้รัฐบาลต้องเข้าไปดูในการร่วมมือแก้ปัญหาพี่น้องผู้ประกอบการค้าปลีก ค้าส่ง 2 ด้าน โดยด้านที่ 1 คือทำอย่างไรไม่ให้เกิดการค้ากำไรเอาเปรียบในภาวะอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่แล้ว ด้านที่ 2 ส่งเสริมสนับสนุนกลุ่มผู้ค้าที่เป็นผู้ค้าที่ดีให้อยู่ได้
“วันนี้ไม่มีอะไรที่เป็นโจทย์ใหญ่เท่ากับทำอย่างไรถึงจะบรรเทาแบ่งเบาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทำอย่างไรถึงจะช่วยกันบริหารตั้งแต่ต้นทางที่จะไปกระทบต่อต้นทุนสินค้า ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร ภาคพลังงานที่ผมเสนอแนะมาอย่างต่อเนื่อง การควบคุมดูแลในการเข้าไปส่งเสริมให้เขาอยู่รอด บางครั้งแม่ค้าเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว ต้นทุนของแพงมาไม่กล้าขึ้นกับลูกค้าปลายทาง แล้วเขาจะอยู่รอดอย่างไร”
“ดังนั้นรัฐต้องเข้ามาช่วยดู มาตรการทางการเงิน มาตรการทางการคลัง อะไรที่ช่วยเขาได้เพื่อประคับประคองให้ผ่านวิกฤตระลอกหลังจากโควิดแล้วมาสู่สงคราม มันเป็นภาวะใหญ่มาก และที่สำคัญรัฐบาลต้องใส่ใจในสิ่งที่มันเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงทวีคูณ เรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญที่จะต้องใช้เงินแต่ละเม็ดไประงับความเดือดร้อน แล้วสร้างให้ธุรกิจยังหมุนอยู่ได้ เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ทางพรรคสร้างอนาคตไทยได้ศึกษาและเตรียมการเรื่องเหล่านี้ไว้ มีอะไรที่พรรคเห็นว่าเป็นประโยชน์ในภาวะปัจจุบันเราก็ออกมาสะท้อนให้กับผู้บริหารประเทศ อะไรที่ดีก็อยากให้นำไปใช้ อย่าไปมองเฉพาะมิติว่าเป็นข้อเสนอจากพรรคเท่านั้น วันนี้ลงพื้นที่เพื่อเป็นตัวแทนประชาชน พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ดีใจ ร้องว่าไม่มีโอกาสสะท้อนความเดือดร้อนเหล่านี้ไปสู่รัฐบาล พี่น้องประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอยก็มีความทุกข์ใจกับราคาสินค้าที่แพงขึ้นทุกวัน” สนธิรัตน์กล่าว
จากนั้นสนธิรัตน์ ได้โชว์สินค้าที่ซื้อจากตลาดในวันนี้ พร้อมระบุว่า “วันนี้ผมนำเงินมา 500 บาท ตั้งใจจะมาซื้อของ ซึ่งในอดีตเคยซื้อได้ ตอนนี้ไม่พอ เพราะของขึ้นเกือบทุกรายการ ผมอยากสะท้อนเรื่องนี้ อยากให้รัฐบาลไปดำเนินการแก้ไข”