วันนี้ (20 มิถุนายน) กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม (กลุ่มโรงกลั่นฯ) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ออกมาชี้แจงว่า ตามที่ กรณ์ จาติกวณิช ได้นำเสนอประเด็น ‘คนไทยโดนปล้น ค่ากลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 10 เท่า’ ผ่านสื่อมวลชนหลายแห่งมาตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2565 โดยมีประเด็นหลักคือ ค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น 10 เท่า จาก 0.87-0.88 บาทต่อลิตรในเดือนมิถุนายน 2563 และ 2564 เพิ่มเป็น 8.56 บาทต่อลิตรในเดือนมิถุนายน 2565 พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาราคาพลังงาน 3 แนวทาง ได้แก่ 1. กำหนดเพดานการกลั่น 2. เก็บภาษีลาภลอย (Windfall Tax) 3. จริงจังกับมาตรการประหยัดการใช้พลังงาน
ทั้งนี้ กลุ่มโรงกลั่นฯ ส.อ.ท. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ข้อมูลที่กรณ์นำเสนอเป็นการเลือกข้อมูลบางส่วนขึ้นมา เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด โดยค่าการกลั่นที่กรณ์ยกมานั้นไม่ใช่ค่าการกลั่นที่โรงกลั่นได้รับ (Market GRM) และยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกจากนี้ข้อมูลที่เลือกมาเป็นฐานในการเปรียบเทียบ เป็นข้อมูลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด (2563-2564) ซึ่งค่าการกลั่นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมากๆ
เมื่อนำมาเปรียบเทียบจะทำให้เข้าใจผิดว่าค่าการกลั่นในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นมากผิดปกติ หากนำข้อมูลค่าการกลั่นที่โรงกลั่นได้รับจริงในช่วงสถานการณ์ก่อนโควิดในปี 2561-2562 มาเปรียบเทียบ พบว่าค่าการกลั่นที่โรงกลั่นได้รับในไตรมาส 1/65 สูงขึ้นเพียงประมาณ 0.47 บาทต่อลิตรจากช่วงสถานการณ์ปกติเท่านั้น ซึ่งไม่ได้สูงถึง 10 เท่า และสูงถึง 8 บาทต่อลิตรอย่างที่กล่าวอ้าง (ตามตารางด้านล่าง)
ประเด็นที่ 2 ต้นทุนการกลั่นไม่ได้คงที่ แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น เช่น ค่าพรีเมียมของน้ำมันดิบ (ราคาส่วนเพิ่มของน้ำมันดิบที่กลั่นเทียบกับราคาน้ำมันดิบอ้างอิง) ค่าขนส่งน้ำมัน ค่าพลังงานที่ใช้ในการกลั่น เป็นต้น รวมถึงค่าแรงที่ปรับขึ้นเป็นประจำ และการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายที่มีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงชนิดและมาตรฐานคุณภาพของน้ำมัน กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการปฏิบัติการในโรงกลั่น ความปลอดภัย เป็นต้น
ประเด็นที่ 3 โรงกลั่นไม่สามารถกำหนดค่าการกลั่นได้ เนื่องจากค่าการกลั่นเป็นผลลัพธ์จากราคาเฉลี่ยของน้ำมันที่ขายจริงทุกชนิดตามสัดส่วนการผลิต หักด้วยราคาน้ำมันดิบที่ซื้อจริง ซึ่งรวมค่าพรีเมียมของน้ำมันดิบ และค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เช่น ค่าขนส่ง และค่าประกันภัย รวมถึงต้องหักค่าพลังงานที่ใช้ในการกลั่น เช่น ค่าความร้อน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าสูญเสีย เป็นต้น โดยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป รวมถึงสต๊อกน้ำมัน และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ