ต้นทุนที่เพิ่มสูงและสต๊อกสินค้าที่พองขึ้นมาส่งผลให้บรรดาบริษัทค้าปลีกของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนต่างกังวลว่าการปรับฐานของราคาหุ้นอาจจะยังไม่จบลง
บริษัทค้าปลีกอย่าง Costco Wholesale, Dollar General และ Best Buy จะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์หน้า ซึ่งนักลงทุนต่างคาดหวังว่าข่าวร้ายอาจจะยังไม่หมดไป หลังจากที่หุ้นยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart และ Target ดิ่งลงหนักสุดนับแต่ปี 1987
โดยรวมแล้วมูลค่าของหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคหายไปถึง 5.5 แสนล้านดอลลาร์ ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา ซ้ำเติมตลาดที่ปรับตัวลงก่อนหน้านี้จากผลกระทบเรื่องเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ย
“สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่หนักหน่วงสำหรับหุ้นค้าปลีก” Neil Saunders นักวิเคราะห์ของ GlobalData กล่าว “หรืออาจจะพูดได้ว่ามันเป็นการปรับพอร์ตเพื่อรับกับความคาดหวังที่เปลี่ยนไป และการที่นักลงทุนต่างมองว่ากำไรจะลดลง”
หนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นคือบริษัทต่างๆ สต๊อกสินค้ามากขึ้น แต่ผู้บริโภคกลับไม่ต้องการซื้อ ขณะเดียวกัน ต้นทุนในการจัดหาสินค้าใหม่และขายสินค้าออกไปก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย ทั้งจากเรื่องของพลังงาน ค่าแรง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับ Walmart และ Target ต่างปรับเป้าหมายกำไรของบริษัทในปีนี้ลง เนื่องจากสต๊อกที่เพิ่มขึ้นและราคาสินค้าที่ปรับขึ้นไม่ทันต้นทุน
ในเรื่องของต้นทุนยังได้รับผลกระทบจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานซึ่งต่อเนื่องมาตั้งแต่การระบาดของโควิดก่อนหน้านี้ และยังมีปัญหาจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่รัสเซียเริ่มบุกยูเครน โดย Saunders มองว่า การปรับราคาสินค้าขึ้นไม่น่าจะชดเชยผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของทุกสิ่งทุกอย่างทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ ทั้ง Walmart และ Target ต่างพูดตรงกันว่าผู้บริโภคต่างซื้อสินค้าที่ถูกลงและเลือกซื้อจากร้านค้าปลีกทั่วไปมากขึ้น
ด้านปัญหาในเรื่องสต๊อกสินค้าซึ่งปีที่แล้วถูกกระทบจากการล่าช้าของการขนส่ง แต่มาในปีนี้ภาพกลับเปลี่ยนไปเมื่อสินค้าอย่างเสื้อผ้า โทรทัศน์ และสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ กลับมีความต้องการน้อยลง เพราะการเลือกจับจ่ายใช้สอยกับสินค้าจำเป็นมากขึ้น ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือยอดขายและกำไรที่ลดลงของบริษัทต่างๆ
อ้างอิง: