คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ให้คำมั่นว่าจะยกระดับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมขนทัพอาวุธที่มีความล้ำสมัยมากที่สุดของประเทศมาแสดงในระหว่างพิธีสวนสนามที่จัดขึ้น ณ กรุงเปียงยาง ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ฮวาซอง-17 ที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีพิสัยการยิงที่ไกลถึงทุกพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา
คิมจองอึนเปิดเผยว่า เกาหลีเหนือจะเสริมกำลังและพัฒนากองกำลังนิวเคลียร์ของตนด้วยความเร็วสูงสุด โดยในพิธีสวนสนามที่จัดขึ้นครั้งนี้ เกาหลีเหนือได้นำขีปนาวุธข้ามทวีปฮวาซอง-17 รวมถึงเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องและขีปนาวุธทิ้งตัวติดเรือดำน้ำมาอวดโฉมในพิธีด้วย
สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ได้ถ่ายทอดการกล่าวสุนทรพจน์ของคิมจองอึน ซึ่งเขาประกาศกร้าวว่า ประเทศหรือกองทัพชาติใดที่หวังจะเผชิญหน้ากับกองกำลังเกาหลีเหนือจะต้อง “ถูกกำจัดให้สิ้นซาก” พร้อมกล่าวว่ากองกำลังนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือถือเป็น “สัญลักษณ์แห่งอำนาจของชาติ” และเป็นพื้นฐานอำนาจทางทหารของเกาหลีเหนือ
คิมจองอึนกล่าวว่า แม้ภารกิจแรกของกองกำลังนิวเคลียร์คือการยับยั้งสงคราม แต่ถึงเช่นนั้นหากมีใครก็ตามที่พยายามจะ “ฉกฉวยผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานของเกาหลีเหนือ กองกำลังนิวเคลียร์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำภารกิจที่สอง” โดยเขาไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดว่าภารกิจที่สองนั้นคือสิ่งใด
สำหรับอาวุธที่เกาหลีเหนือขนทัพมาแสดงแสนยานุภาพในครั้งนี้ อาวุธที่มีความโดดเด่นมากที่สุดเห็นจะเป็นขีปนาวุธข้ามทวีป ‘ฮวาซอง-17’ ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแทนของความสำเร็จด้านการทหารสูงสุดของประเทศ โดยเกาหลีเหนืออ้างว่าประสบความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธดังกล่าวเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งคิมจองอึนประกาศในช่วงเวลานั้นว่า เกาหลีเหนือมีความพร้อมเต็มที่หากต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังสหรัฐฯ เนื่องจากขีปนาวุธนี้มีพิสัยที่ยิงได้ไกลถึงทุกพื้นที่ของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ยังคงถกเถียงกันว่า เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการยิงขีปนาวุธฮวาซอง-17 จริงหรือไม่ เนื่องจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าการทดสอบยิงขีปนาวุธเมื่อวันที่ 24 มีนาคมนั้นเป็นการทดสอบขีปนาวุธฮวาซอง-15 ซึ่งเป็นรุ่นที่เก่ากว่าและมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย
ทั้งนี้ สำนักข่าว CNN ได้รายงานความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดย อันคิต แพนดา ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธนิวเคลียร์แห่ง Carnegie Endowment for International Peace กล่าวว่า พิธีสวนสนามซึ่งจัดขึ้นในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปีของการก่อตั้งกองทัพเกาหลีเหนือ เผยให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของคิมจองอึนในด้านการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามของเขาในการพัฒนาขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็ง (Solid Fuel)
แพนดากล่าวว่า รูปภาพจากพิธีเผยให้เห็นว่ามีขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งที่ยังไม่ได้ทดสอบ 3 ลำ ซึ่งถือเป็นรายละเอียดที่น่าสนใจ เนื่องจากขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งนั้นมีเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัยกว่าเชื้อเพลิงเหลว อีกทั้งยังสามารถขนย้ายได้ง่ายกว่า ซึ่งแปลว่าสามารถหลบซ่อนจากสายตาของศัตรูได้ดีกว่า และพร้อมยิงได้รวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงเหลว
ส่วน เจฟฟรีย์ ลูอิส ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธและศาสตราจารย์แห่งสถาบัน Middlebury Institute of International Studies กล่าวเมื่อเดือนมีนาคมภายหลังการทดสอบฮวาซอง-17 ว่า เขาไม่คิดว่าคิมจองอึนจะหยุดการพัฒนาขีปนาวุธจนกว่าจะถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ โดยเกาหลีเหนือได้ประกาศแผนที่จะยกระดับความแม่นยำของขีปนาวุธ และเพิ่มพิสัยการยิงสูงสุดถึง 15,000 กิโลเมตร
“ผมคิดว่าเราอยู่ในช่วงเวลาของการทดสอบขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ ความตึงเครียดนี้อาจคงอยู่นานถึงราว 1 ปีหรือมากกว่านั้น” ลูอิสกล่าว
นอกเหนือจากการแสดงอาวุธแล้ว นักวิเคราะห์กล่าวว่า การสวนสนามครั้งนี้ยังให้ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับความคิดเบื้องลึกของคิมจองอึน
จองซองจัง ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาเกาหลีเหนือแห่งสถาบันเซจงของเกาหลีใต้ กล่าวว่า การที่คิมจองอึนสวมเครื่องแบบทหารขณะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ถือเป็นท่าทีที่สำคัญมาก
“นี่อาจเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า เขาจะตอบโต้ด้วยกองกำลังที่แข็งแกร่งในอนาคตต่อนโยบายที่แข็งกร้าวของรัฐบาลเกาหลีใต้ภายใต้การนำของยุนซอกยอล ซึ่งมองว่าเกาหลีเหนือเป็นศัตรูรายสำคัญของประเทศ”
อย่างไรก็ตาม ด้าน ยางมูจิน ศาสตราจารย์แห่ง University of North Korean Studies มองว่า ท่าทีของคิมจองอึนในครั้งนี้ถือว่าไม่ได้รุนแรงมากอย่างที่คิดไว้ว่า
“คิมจองอึนไม่ได้กล่าวถึงเกาหลีใต้หรือสหรัฐฯ โดยตรง และถึงแม้จะมีการเอ่ยถึงกองกำลังนิวเคลียร์ แต่ก็ไม่ได้มีการแสดงความคิดเห็นที่รุนแรง ซึ่งดูเหมือนว่าเกาหลีเหนือพยายามที่จะรักษาระดับความตึงเครียดไม่ให้มากเกินไปในช่วงเวลานี้”
ภาพ: Reuters
อ้างอิง: