สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนหั่นคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้เหลือ 3.09% และลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้นเหลือ 89.11 บาทต่อหุ้น เนื่องจากราคาน้ำมันแพง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของ บจ. ปรับสูงขึ้น พร้อมประเมินหุ้นไทยไตรมาส 2 แกว่งกรอบแคบ คาดปิดไตรมาสไม่ถึง 1,700 จุด
สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 27 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 2-4 ของปี 2565 สรุปได้ดังนี้
สถานการณ์การเมืองโลก รัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบประมาณการราคาน้ำมันดิบ เฉลี่ยทั้งปี 2565 สูงขึ้น จากคาดเดิมเมื่อ 3 เดือนก่อนที่ 69.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาเป็น 94.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และทำให้ต้องลดคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2565 จากเดิมที่ 3.71% ลงมาเหลือ 3.09%
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการลงทุนในปี 2565 ยังได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Fund Flow จากต่างประเทศ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรเติบโต โดยมีผู้โหวตถึง 81% และ 74% ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยด้านลบยังคงมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed โดยมีผู้โหวตมากถึง 89% ส่วนอันดับ 2 คือปัจจัยการเมืองในต่างประเทศ มีผู้โหวต 78% ตามติดมาด้วยปัจจัยเศรษฐกิจโลก มีผู้โหวต 74% และปัจจัยการเตรียมลดมาตรการ QE ทั่วโลก 67%
ทางด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 65% มองว่าจะคงที่ตลอดปีนี้ รองลงมาคือมองว่าจะปรับขึ้น 0.25% ในปีนี้มีผู้โหวต 27% ของผู้ตอบ และสุดท้ายคือมองว่าจะปรับขึ้น 0.50% ในปีนี้มีผู้โหวต 7%
ส่วนทางด้านคาดการณ์ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 2565 เฉลี่ยที่ 89.11 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 9.33% จากปี 2564 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 89.59 บาทต่อหุ้นเล็กน้อย
ทางด้านคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาส 2/65 นั้น มีผู้โหวต 44% ที่คาดว่าจะเป็น Sideways และมีผู้โหวต 41% ที่มองว่า Index จะมีทิศทางลบ ส่วนที่เหลือ15% มองเป็นทิศทางบวกในไตรมาส 2 โดยคาดการณ์ SET Index ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 1,688 จุด
ส่วนมุมมองจากไตรมาสที่ 2 ไปถึงสิ้นปี คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,567-1,774 จุด และปิดสิ้นปี 2565 ที่ 1,747 จุด
นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น
- เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 13.85%
- กองทุนตราสารหนี้ 13.15%
- หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.46%
- หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 27.29%
- กองทุนอสังหา หรือ REIT 8.66%
- ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.41%
- อื่นๆ 0.18%
สำหรับการให้น้ำหนักการลงทุนนั้น ส่วนใหญ่เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว และสื่อสาร และลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
โดยหุ้นเด่นที่ได้รับการแนะนำลงทุนมากสุด คือ BDMS, KBANK และ MAKRO
สมบัติกล่าวเพิ่มว่า ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลจากการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้คือ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มีนโยบายช่วยเหลือประชาชน โดยดูแลค่าใช้จ่ายผู้มีรายได้น้อย รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านช่วยเหลือภาคธุรกิจนั้น แนะนำให้เร่งแผนเปิดประเทศเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และการให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจที่โดนผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP