เศรษฐกิจศรีลังกากำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่ง อันเป็นผลมาจากการบริหารการเงินที่ผิดพลาดของรัฐบาล และการลดภาษีผิดจังหวะเวลา นอกเหนือไปจากผลกระทบของการระบาดใหญ่ของโควิด
หนี้ต่างประเทศมูลค่ามหาศาล, การล็อกดาวน์ต่อเนื่อง, อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น, การขาดแคลนเชื้อเพลิง, ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลง และการลดค่าเงิน ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
ข้อมูลจากกรมสถิติของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจศรีลังกาโต 1.8% ในไตรมาส 4 ปี 2021 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้อัตราการขยายตัวทั้งปีอยู่ที่ 3.7% ขณะที่ธนาคารกลางศรีลังกาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจประเทศจะขยายตัวในอัตรา 5%
ประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย จีน และบังกลาเทศ ยื่นมือเข้ามาช่วยศรีลังกาฝ่าฟันวิกฤตนี้ นอกจากนี้ ศรีลังกายังได้ขอความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ด้วย
ศรีลังกามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
เศรษฐกิจของศรีลังกาประสบปัญหาตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดของโควิดแล้ว แต่การล็อกดาวน์ยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์ยากลำบากขึ้น และส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Sector) ซึ่งแรงงานเกือบ 60% ของประเทศอยู่ในภาคส่วนนี้
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศลดลง 70% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 2.31 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ศรีลังกาไม่มีเงินจ่ายค่าสินค้านำเข้าที่จำเป็น ซึ่งรวมถึงอาหารและเชื้อเพลิง
วิกฤตการณ์ทางการเงินยังมีสาเหตุมาจากการขาดแคลนสกุลเงินต่างประเทศ โดยการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่สำคัญของประเทศ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของโควิด นอกจากนี้ ชาวศรีลังกาที่ทำงานในต่างประเทศยังส่งเงินกลับประเทศลดน้อยลงมากด้วย
ศรีลังกามีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่เพียง 2.31 พันล้านดอลลาร์ ณ เดือนกุมภาพันธ์ แต่มีหนี้ที่ต้องชำระถึงประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ตลอดช่วงที่เหลือของปี
“สาเหตุของการขาดแคลนไม่ใช่การขาดแคลนสินค้าโภคภัณฑ์ แต่เป็นการขาดแคลนเงินดอลลาร์” ธนานาถ เฟอร์นันโด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของสถาบันวิจัย Advocate Institute ในกรุงโคลอมโบ กล่าวกับสำนักข่าว Reuters
หนี้มูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์นั้นรวมถึงพันธบัตรรัฐบาลระหว่างประเทศมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะครบกำหนดชำระในเดือนกรกฎาคม
ตกงาน ไม่มีเงิน ขาดแคลนสินค้าจำเป็น
การตกงานกลายเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในเกือบทุกครัวเรือนของศรีลังกา และการขาดรายได้ทำให้อัตราความยากจนในประเทศเพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูลของธนาคารโลกเผยว่า สัดส่วนของคนจนที่มีรายได้วันละ 3.20 ดอลลาร์ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 11.7% ในปี 2020 จาก 9.2% ในปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 แสนคน
รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการให้เงินช่วยเหลือ 5,000 รูปี แก่ครอบครัวรายได้ต่ำที่มีสถานะทางการเงินที่เปราะบางจำนวน 5 ล้านครอบครัวในช่วงล็อกดาวน์โควิด
แต่นั่นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และช่วยได้เพียงช่วงสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิกฤตเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วถูกซ้ำเติมจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้นแบบพุ่งพรวด
ขณะที่การขาดแคลนสินค้าจำเป็นก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ถึงขนาดที่ทำให้การสอบของนักเรียนหลายล้านคนในประเทศต้องถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากไม่มีกระดาษและหมึกสำหรับใช้สอบ
ตัดไฟนาน 10 ชั่วโมง
การขาดแคลนเชื้อเพลิงส่งผลให้มีการตัดไฟทั่วประเทศเป็นเวลานานหลายชั่วโมง โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา มีรายงานไฟดับนานสุดถึง 10 ชั่วโมง
การไม่มีเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำได้นำไปสู่การขาดแคลนพลังงานความร้อนถึง 750 เมกะวัตต์
“ไฟฟ้ามากกว่า 40% ของศรีลังกาผลิตจากพลังน้ำ แต่แหล่งน้ำส่วนใหญ่มีระดับต่ำจนเป็นอันตราย เพราะฝนไม่ตก” เจ้าหน้าที่เผยกับสำนักข่าว AFP
ถ่านหินและน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตไฟฟ้าของศรีลังกา และศรีลังกาต้องนำเข้าทรัพยากรทั้งสองชนิดจากต่างประเทศ ซึ่งกลายเป็นเรื่องยากในปัจจุบัน เนื่องจากเงินตราต่างประเทศที่ร่อยหรอ
บริษัทค้าปลีกน้ำมันรายใหญ่อย่าง Ceylon Petroleum Corporation (CPC) ของรัฐบาล เปิดเผยว่าจะไม่มีดีเซลในประเทศเป็นเวลาอย่างน้อยสองวัน โดย CPC แจ้งผู้ใช้รถที่รอเติมน้ำมันเป็นแถวยาวที่สถานีบริการน้ำมันว่าให้กลับไปก่อน และค่อยกลับมาเติมน้ำมันใหม่เมื่อมีการนำเข้าน้ำมันแล้ว
แย่งชิงเชื้อเพลิง
วิกฤตครั้งนี้เลวร้ายถึงขนาดที่ผู้คนต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานอย่างเชื้อเพลิง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศรีลังกาสั่งให้ทหารไปประจำการที่สถานีบริการน้ำมัน เนื่องจากการประท้วงปะทุขึ้นเป็นระยะๆ ท่ามกลางผู้คนนับพันที่เข้าคิวเติมน้ำมัน
ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันดีเซลอย่างรุนแรงทำให้ต้องปิดโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหลายแห่ง และส่งผลให้ต้องตัดไฟฟ้าทั่วประเทศ
นอกจากนี้ มีการประกาศขึ้นราคาน้ำมันถี่มาก โดยน้ำมันเบนซินปรับตัวขึ้นมาแล้ว 92% และดีเซลเพิ่มขึ้น 76% ตั้งแต่ต้นปี
เจ้าหน้าที่เผยกับ AFP ว่า รัฐบาลต้องใช้เวลาถึง 12 วันในการหาเงิน 44 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำมาจ่ายค่าขนส่งก๊าซ LP และน้ำมันก๊าดงวดล่าสุด
เงินเฟ้อพุ่ง
เมื่อเดือนมีนาคม 2020 ศรีลังกาสั่งห้ามการนำเข้าสินค้าหลายชนิด เพื่อเก็บสกุลเงินต่างประเทศซึ่งจำเป็นต่อการชำระหนี้ต่างประเทศจำนวน 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่การดำเนินการดังกล่าวนำไปสู่การขาดแคลนสินค้าจำเป็นอย่างกว้างขวาง และราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ประชาชนจำเป็นต้องเลือกซื้ออาหารราคาถูกลงเพื่อลดค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังตัดค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงเพื่อประหยัด
โดยปัจจุบัน ชาหนึ่งถ้วยมีราคา 100 รูปีศรีลังกา ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 25 รูปีศรีลังกา ณ เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ตามรายงานของเว็บข่าวท้องถิ่น
ขณะที่ค่าหมอและค่ายาก็แพงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาใช้วิธีรักษาด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีการที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่าอาจนำไปสู่การเจ็บป่วยที่สูงขึ้นได้
โรงพยาบาลหลายแห่งหยุดการผ่าตัดตามปกติ และซูเปอร์มาร์เก็ตต้องแบ่งสรรปันส่วนการจำหน่ายอาหารหลักอย่างข้าว น้ำตาล และนมผง
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางศรีลังกา (CBSL) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณามาตรการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการควบคุมการนำเข้าที่ไม่จำเป็น และการขึ้นราคาน้ำมัน เพื่อลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ
อัตราเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 15.1% โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อกลุ่มอาหาร พุ่งแตะ 25.7% ซึ่งสูงที่สุดในรอบทศวรรษ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวสูงกว่าเป้าหมายของแบงก์ชาติอย่างมาก โดยธนาคารกลางศรีลังกาตั้งเป้าคงอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 4-6% ในระยะกลาง
ไม่มีกิน
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลักที่พุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หลายคนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐ เนื่องจากสินค้าจำเป็นทั้งหมดขาดแคลน อันเป็นผลมาจากมาตรการจำกัดการนำเข้า ซึ่งถูกบีบบังคับโดยวิกฤตอัตราแลกเปลี่ยน
แม่บ้านคนหนึ่งในโคลอมโบบอกกับ AFP ว่า ผู้คนต่อแถวยาวทุกวัน ตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง เพียงเพื่อรับส่วนแบ่งน้ำมันก๊าดที่สามารถนำมาใช้ในการจุดเตาทำอาหารได้ เธอยังกล่าวอีกด้วยว่ามีคนเป็นลม และเธอเองก็รู้สึกไม่สบายเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้อง
ผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนทำงานบ้านเล่าว่า เธออยู่ในประเทศนี้มา 60 ปีแล้ว ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
การลดค่าเงิน
ธนาคารกลางศรีลังกาตัดสินใจลดค่าเงินรูปีลงถึง 15% และกำหนดวงเงินอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 230 รูปีต่อดอลลาร์ จากเดิมซึ่งกำหนดไว้ที่ 200-203 รูปี
ในเดือนธันวาคม CBSL ได้ประกาศมาตรการหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการให้เงินเพิ่มอีก 10 รูปีต่อดอลลาร์ แต่ปรากฏว่าช่วยไม่ได้มาก โดยการส่งเงินกลับประเทศลดลง 61.6% ในเดือนมกราคม มาอยู่ที่ 259 ล้านดอลลาร์ จาก 675 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า
ความช่วยเหลือจากประเทศเพื่อนบ้าน
ในเดือนมกราคม ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้ประกาศทำสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Cross Currency Swap) จำนวน 400 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยศรีลังกาพยุงเงินสำรอง
จากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ศรีลังกาได้ลงนามข้อตกลงสินเชื่อวงเงิน 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อเชื้อเพลิงจากอินเดีย ซึ่งนับว่าสำคัญมาก เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นหลังจากรัสเซียบุกยูเครน และต้นทุนการนำเข้าเชื้อเพลิงของศรีลังกาก็พุ่งขึ้นมากถึง 40% ในหนึ่งสัปดาห์ โดยการจัดส่งน้ำมันจาก Indian Oil Corporation (IOC) เริ่มเดินทางมาถึงประเทศเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคม
ในเดือนเดียวกันนั้น ศรีลังกาและอินเดียได้ลงนามในวงเงินสินเชื่อ 1 พันล้านดอลลาร์สำหรับการนำเข้าสินค้าจำเป็นต่างๆ ซึ่งรวมถึงอาหารและยา
ปัจจุบัน ศรีลังกาได้ขอวงเงินสินเชื่อจากอินเดียเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อนำเข้าสินค้าจำเป็น ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนสินค้าและการประท้วงที่ปะทุขึ้นในหลายจุดของประเทศ
ภาพ: Pradeep Dambarage / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง: