The Power of the Dog หนึ่งตัวเต็งสำคัญของออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประจำปี 2022 ผลงานการกำกับของ Jane Campion ผู้กำกับหญิงเจ้าของรางวัล Palme d’Or จากการกำกับภาพยนตร์ The Piano หนังในดวงใจของใครหลายคน
เรื่องราวของ Phil และ George สองพี่น้องตระกูล Burbank เจ้าของฟาร์มผู้ร่ำรวย ในรัฐมอนทานา คนหนึ่งมีนิสัยดุดัน นิ่งเงียบ เอาใจยาก แต่ฉลาด ส่วนอีกคนดูโอนอ่อน แต่งตัวดี และจิตใจเย็น นิสัยที่ต่างกันสุดขั้วกลับถูกสั่นคลอนสมดุลระหว่างกัน เมื่อ George ตัดสินใจแต่งงานใหม่กับหญิงหม้ายลูกติด เจ้าของร้านอาหารในละแวกนั้น สร้างความไม่พอใจให้แก่ Phill และทำให้เขาเริ่มกดดัน ข่มเหง และคุกคามสองแม่ลูก จนพานให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ตามมามากมาย
เรื่องราวในหนัง The Power of the Dog เกิดขึ้นในชนบทของรัฐมอนทานา สหรัฐอเมริกา ช่วงปลายยุคคาวบอย ปี 1925 บรรยากาศทุกอย่างล้วนสวยงาม เรียบนิ่ง ราวกับพาเราเข้าสู่เวลานั้นได้จริง ทว่าความจริง The Power of the Dog ไม่เคยถ่ายทำในอเมริกาแม้แต่นิดเดียว ฉากที่เราเห็นในเรื่องส่วนใหญ่ล้วนถูกถ่ายทำใน Central Otago บนเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ ซึ่งเคยปรากฏบนภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงมหากาพย์หนังไตรภาค The Lord of the Rings
ตามรายงานของ New Zealand Film Commission ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำ 27 วัน บนเกาะใต้ และ 23 วัน ณ สตูดิโอในเมืองโอ๊กแลนด์บนเกาะเหนือเท่านั้น เนื่องจากสถานการณ์โควิด และนี่คือ 5 สถานที่ถ่ายทำที่คุณสามารถปักหมุดตามรอยได้
Maniototo
พื้นที่ราบโล่งกว้างซึ่งอยู่ทางตะวันออกของ Central Otago ใกล้กับต้นแม่น้ำ Taieri ถูกเซ็ตให้เป็นสถานที่ตั้งของฟาร์มตระกูล Burbank และโรงนาสไตล์ตะวันตก รวมถึง Red Mill Hotel ด้วยเสน่ห์ของมอนทานาคือทุ่งหญ้าโล่งกว้างไร้ซึ่งผู้คน ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ รอบตัวแบบ 360 องศา มีเพียงแต่ทิวเขาสูงและฉากหลังอันงดงามของเทือกเขา Hawkdun และด้วยความที่ทุกอย่างเซ็ตขึ้นมา ทีมงานทำลายฉากทิ้งทันทีที่ถ่ายทำเสร็จ
Queenstown Hill
ไม่นานหลังจากที่ Rose และ George แต่งงานกัน ฉากที่ทั้งคู่อยู่ตามลำพังบนเนินเขาและกำลังสอนให้เขาเต้นรำ ฉากนี้ถูกถ่ายทำบนถนนเส้นเล็กๆ ใน Queenstown Hill โดยมีฉากหลังเป็นยอดเขา Cecil Peak
Queenstown Hill เป็นยอดเขาขนาดเล็ก สูง 907 เมตร และยังเป็นบ้านของฟาร์มแกะนับพันตัว คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเทรล ชมธรรมชาติ ด้านบนสามารถมองเห็นวิวเมืองควีนส์ทาวน์และทะเลสาบวากาติปู
Dunedin Railway Station
ฉากที่ George ไปรับพ่อแม่ของเขาที่สถานีรถไฟ ถูกถ่ายทำ ณ สถานีรถไฟ Dunedin แลนด์มาร์กสำคัญของเกาะใต้ อาคารสไตล์เฟลมิช-เรเนสซองส์ ที่มีลักษะเด่นเป็น ‘บ้านขนมปังขิง’ ขนาดใหญ่ เปิดให้ใช้บริการครั้งแรกในปี 1906 นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปสามารถแวะไปชมความงามได้ แต่เราแนะนำให้แวะไปช่วงวันเสาร์ เพราะที่จอดรถด้านข้างจะแปรเปลี่ยนเป็น Otago Farmers Market ให้ซื้อหาของทำมือและของท้องถิ่นจากเกษตรในละแวก
Oamaru’s Victorian Precinct
ย่านการค้าและธุรกิจดั้งเดิมของ Oamaru และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายทางน้ำ ที่นี่โดดเด่นด้วยอาคารเก่าสไตล์วิกตอเรียในศตวรรษที่ 19 สร้างขึ้นโดยหินไลม์สโตนสีขาวครีมของท้องถิ่น นักท่องเที่ยวสามารถเดินมาดูตึกรามบ้านช่อง หาของกินอร่อยๆ และช้อปสินค้าได้ Oamaru’s Victorian Precinct ถูกนำมาเป็นฉากในเมือง Herndon ของรัฐมอนทานา โดยถ่ายทำบริเวณถนน Tyne & Harbour Street เป็นหลัก
Bannockburn Sluicings Historic Reserve
ซีนที่ Peter เดินทางตามลำพังและพบกับซากวัวที่เป็นโรค ฉากที่ดูเหมือน Wild West ถูกถ่ายทำที่ Bannockburn Sluicings Historic Reserve เขตป่าตะวันตกของนิวซีแลนด์ ใกล้กับเมืองครอมเวลล์ พื้นที่รกร้างว่างเปล่า ผลพวงจากการทำเหมืองทองคำในอดีต ที่ยามนี้เหลือเพียงแต่โกรกผา ไม้พุ่มขนาดเล็ก และต้นหญ้า
ภาพ: Netfilx, Shutterstock
อ้างอิง: