*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์*
สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังของสงครามคือ ชีวิตของคนบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนที่ต้องล้มตาย ความฝันและวัยเยาว์ของเด็กมากมายต้องโดนพรากไป และต่อให้ผ่านไปอีกกี่สิบปี สงครามจะยังคงเป็นฝันร้ายของประชาชนบริสุทธิ์เหล่านี้ไปตลอดชีวิต
The Forgotten Battle ภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 2020 นำเราไปสำรวจความโหดร้ายของสงคราม ผ่านเรื่องราวชีวิตของเด็กหนุ่มท่ามกลางภัยสงครามระหว่างเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ในปี 1944
ภาพยนตร์เริ่มต้นด้วยการนำเราไปทำความรู้จักกับ ดีร์ก (โรนัล คัลเตอร์) เด็กหนุ่มชาวเนเธอร์แลนด์อายุเพียง 17 ปีที่ตัดสินใจเข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้านกองทัพเยอรมนี โดยพวกเขาวางแผนที่จะส่งข่าวไปยังกองกำลังแคนาดาที่เป็นพันธมิตรอย่างลับๆ
แต่แล้ววันหนึ่งดีร์กก็โดนตามล่าตัวจากทหารเยอรมัน เนื่องจากเขาแสดงออกถึงการต่อต้านด้วยการปาก้อนหินใส่กระจกรถของนายทหารคนหนึ่งจนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ทหารเยอรมันจำนวนหนึ่งบาดเจ็บและเสียชีวิต
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ดีร์กตกเป็นผู้ต้องสงสัยและโดนตามล่าให้ไปมอบตัว แม้พ่อของเขาซึ่งเป็นหมอที่รักษาให้กับทหารเยอรมันจะพยายามต่อรองให้ทำโทษดีร์กด้วยการจำคุก แต่สุดท้ายดีร์กก็โดนจับไปทรมานร่างกาย เพื่อเค้นรายชื่อของสมาชิกกลุ่มต่อต้านที่เหลือ
เมื่อทหารเหล่านั้นสามารถจับกุมคนในรายชื่อมาได้หมด ดีร์กจึงโดนยิงเป้าอย่างโหดร้าย
เด็กหนุ่มในวัย 17 ปีที่ควรได้ใช้ชีวิตไปกับการศึกษา เล่นสนุก หรือทำตามความฝันของตัวเอง แต่เพราะสงครามที่เต็มไปด้วยทหารเดินถืออาวุธไปมา เสียงระเบิดที่ดังขึ้นทุกวัน ผู้คนหวาดกลัวจนต้องหลบซ่อนอยู่ในบ้าน บีบบังคับให้ดีร์กเลือกที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้านจนต้องจบชีวิตลงด้วยการโดนยิงเป้า
สงครามพรากทั้งวัยเยาว์ ความฝัน และชีวิตของดีร์กไปอย่างน่าเศร้า
อีกด้านหนึ่งภาพยนตร์ได้นำเสนอภาพชีวิตของทหารเยอรมันท่ามกลางภัยสงครามที่มีชีวิตน่าเศร้าไม่แพ้กัน พวกเขาต้องทำตามคำสั่งและถูกส่งมาสู้รบในสงครามโดยไม่มีทางเลือก
ทหารจำนวนมากบาดเจ็บ พิการ และล้มตาย หนึ่งในทหารที่ถูกส่งมารบในครั้งนั้นคือ ฟาน สตาเวเรน (กิช บลอม) ชายหนุ่มชาวเนเธอร์แลนด์ที่ถูกส่งตัวไปยังกองกำลังบาวาเรียของเยอรมนีตั้งแต่อายุ 17 ปี
สงครามทำให้ฟานถูกพรากจากครอบครัวอันเป็นที่รัก เขาต้องละทิ้งน้องและแม่ที่ป่วยหนักอย่างไม่มีทางเลือก ในปี 1944 ฟานเป็นทหารหนุ่มที่ประจำการอยู่ในกองกำลังจู่โจมและถูกส่งไปยังแนวรบของรัสเซีย
ท่ามกลางสงครามที่เกิดขึ้น เขาพยายามรักษาชีวิตของตนเองและเพื่อนรักเอาไว้ แต่แล้วเพื่อนของเขาก็โดนยิงตายไปต่อหน้าต่อตา ในขณะที่ฟานโดนแรงระเบิดจนสลบไปนานหลายวัน
โชคดีที่หลังการผ่าตัดสะเก็ดระเบิด เขารอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่สุดท้ายฟานก็โดนส่งตัวไปยังเนเธอร์แลนด์ เพื่อเป็นกำลังเสริมให้กับทหารเยอรมัน
ฟานกลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้งในฐานะของทหารที่จะเข้าไปยึดแผ่นดินของเนเธอร์แลนด์ แม้จะไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายฟานก็กลายเป็นทหารที่ใช้อาวุธฆ่าคนบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมประเทศของตัวเอง
ตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมงของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากการนำเสนอชีวิตของดีร์กและฟานที่ต้องเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรมจากภัยสงคราม เราจะได้เห็นภาพของผู้คนบริสุทธิ์มากมายที่ต้องล้มตาย ใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง และต้องแยกจากคนรักหรือครอบครัว
สุดท้ายสงครามในครั้งนั้นก็จบลงโดยที่กองกำลังสัมพันธมิตรจากแคนาดาสามารถเข้ามาช่วยเหลือเนเธอร์แลนด์ให้รอดพ้นจากการยึดครองของเยอรมนีได้สำเร็จ โดยที่ฝ่ายสัมพันธมิตร 3,231 คน ทหารนาซีและชาวบ้านกว่า 4,250 คนเสียชีวิตในสงคราม
เนเธอร์แลนด์ในตอนนั้นเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ผู้คนตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว สงครามในครั้งนั้นกลายเป็นฝันร้ายที่ใครๆ ก็ไม่อยากนึกถึง
จากเหตุการณ์ในปี 1944 ผ่านมาแล้วถึง 78 ปี เราไม่คาดคิดว่าภาพของสงครามจะเกิดขึ้นอีกในปี 2022 ภัยสงครามที่ถ่ายทอดให้เห็นผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตจริงของชาวยูเครน หลังรัสเซียส่งทหารบุกเข้าไปเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ผ่านมาเพียง 17 วัน ตัวเลขผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บกำลังเพิ่มขึ้นถึงหลักพันคน ในขณะที่ชาวยูเครนกว่า 2 ล้านคนต้องอพยพหนีออกนอกประเทศโดยไม่มีที่ไป และมีเด็กจำนวนมากที่ต้องแยกจากครอบครัวของตัวเอง
เราหวังเพียงว่าสงครามครั้งนี้จะจบลงในเร็ววัน เพื่อไม่ให้มีประชาชนบริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บหรือล้มตายไปมากกว่านี้ และหวังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเป็นบทเรียนที่จะไม่ทำให้เกิดประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายเช่นนี้ซ้ำอีกในอนาคต