Chanel ยังคงปรับราคากระเป๋ารุ่นคลาสสิกขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคลาสสิก 11.12, 2.55, 19 และ Boy ซึ่งล่าสุดได้ปรับขึ้นอีกครั้งใน 5 ตลาดสำคัญ ได้แก่ ประเทศยูโรโซน 6%, สหราชอาณาจักร 5%, ญี่ปุ่น 8%, เกาหลีใต้ 5% และฮ่องกง 2% โดยมีผลเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา คงเหลือไว้แค่สองตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ไม่ได้ปรับขึ้นในรอบนี้
Bruno Pavlovsky ประธานฝั่งแฟชั่นกล่าวว่า “มันไม่ใช่การขึ้นราคาเพราะว่าแค่อยากขึ้นราคา หรือว่าการแข่งขันกับแบรนด์คู่แข่ง แต่เป็นเพราะว่าเรามีสินค้าที่มีคุณค่า และสินค้าเหล่านี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการลงทุนที่แท้จริง เพื่อการันตีว่าสินค้าจะอยู่ได้ไปอีก 20 ปีข้างหน้า” และเขายังได้ปฏิเสธหลังมีการตั้งข้อสังเกตว่า Chanel ปรับราคาเพื่อพยายามปรับจุดยืนของแบรนด์ให้เทียบเท่ากับแบรนด์หรูอย่าง Hermès
นอกจากนั้น ทาง Bruno ยังได้ยืนยันการขึ้นราคาของกระเป๋าอีก 3 รุ่นทั้ง Coco Handle, Business Affinity และ Boy Bag แบบมีหูจับ หลังจากที่เว็บไซต์กระเป๋าชื่อดัง PurseBlog รายงานว่ามีการปรับขึ้นไปเมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าราคากระเป๋าจะยังคงเพิ่มสูงขึ้น แต่ทางแบรนด์ยังได้เพิ่มกลยุทธ์หลังบ้านให้ลูกค้าพอใจมากขึ้น ซึ่งทาง Bruno ยังเสริมอีกด้วยว่า ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีผลิตหนังเข้ามาใหม่ที่ปลอดสารโครเมียมและใช้น้ำน้อยเพื่อให้มีความยั่งยืนมากขึ้น รวมไปถึงบริการรับประกันสินค้าจากเดิม 3 ปี เป็น 5 ปีพร้อมกับโปรแกรมซ่อมแซมและรักษาสินค้า ชื่อว่า Chanel & moi
การปรับขึ้นราคาครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 6 ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด ซึ่งประกอบไปด้วยหลายปัจจัย ทั้งต้นทุนการผลิตไปจนถึงอัตราเงินเฟ้อ จนนำมาซึ่งนโยบายปรับราคาสินค้าของบริษัทที่ใช้ครั้งแรกในปี 2015 ที่อยากทำให้ราคาสินค้าทั่วโลกแตกต่างกันน้อยที่สุด และควบคุมราคาไม่ให้ห่างกันเกิน 10% จนลูกค้าในแต่ละภูมิภาครู้สึกไม่พอใจในราคาสินค้าในพื้นที่ตัวเอง และทำให้ต้องออกตามหาสินค้าจากที่อื่น
ภาพ: Shutterstock
อ้างอิง: