วิกฤตการเมืองอิหร่านที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังประชาชนไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล เหตุทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน จึงออกมารวมตัวเดินประท้วงรัฐบาล จนบานปลายกลายเป็นเหตุปะทะกัน เข้าสู่วันที่ 7 ของเหตุประท้วง มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 21 คน
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ฝ่ายต่อต้านจะเรียกร้องให้รัฐบาล รวมถึงผู้นำสูงสุดของอิหร่านลงจากอำนาจ แต่กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลจำนวนไม่น้อยก็ออกมาชุมนุมไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว พร้อมร้องตะโกนว่า ‘เลือดทุกหยดในเส้นเลือดของเราคือของขวัญแด่ผู้นำของเรา พวกปลุกปั่นต่อต้านต้องถูกลงโทษ’ กลายเป็นสองกระแสหลักที่ปะทะกันในวิกฤตการเมืองอิหร่านในครั้งนี้
ล่าสุด นายพล โมฮัมหมัด อาลี จาฟารี หัวหน้ากองกำลังการปฏิวัติของอิหร่าน ประกาศว่ากระแสในการต่อต้านรัฐบาล รวมถึงการปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายภายในอิหร่านได้พ่ายแพ้ลงแล้ว โดยเขาระบุว่ากองกำลังภายใต้การกำกับดูแลของเขาเข้าควบคุมสถานการณ์อย่างจำกัดใน 3 พื้นที่สำคัญเท่านั้น พร้อมยืนยันว่าแต่ละพื้นที่มีผู้ชุมนุมประท้วงราว 1,500 คน และคาดว่าตัวเลขของผู้ไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลทั่วประเทศมีไม่ถึง 15,000 คน ซึ่งรัฐบาลเริ่มจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว
นายพล จาฟารี ยังได้กล่าวประณามศัตรูของอิหร่านอีกครั้ง หลังจากที่ อยาตอลเลาะห์ อะลี คาเมเนอี เคยประณามไปก่อนหน้านี้ โดยระบุว่าศัตรูเหล่านี้ต่างใช้เครื่องมือทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และภัยคุกคามความมั่นคงต่อต้านระบอบอิสลามของอิหร่าน แม้จะไม่มีการระบุถึงศัตรูที่แน่ชัด แต่นักวิเคราะห์มองว่าอาจเป็นการอ้างถึงสหรัฐฯ อิสราเอล และซาอุดีอาระเบีย ไม้เบื่อไม้เมาที่เป็นคู่ปรับทางการเมืองที่สำคัญของอิหร่านมาโดยตลอด อีกทั้งยังเชื่อว่าเหตุเดินขบวนประท้วงใหญ่จะดำเนินต่อไปสักระยะ หากไม่มีการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนและมีท่าทีที่จะบั่นทอนความชอบธรรมของรัฐบาลประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานี มากยิ่งขึ้นในทุกขณะ
อ้างอิง:
