ค่าเงินบาทแข็งสุดในรอบ 33 เดือนรับศักราชใหม่ 2561 ผู้เชี่ยวชาญชี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่แข็งแรง ดอลลาร์แนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่อง ดันบาทแข็งในระยะกลางและยาว เชื่ออาจหลุด 30 บาทได้
ประเด็นค่าเงินบาทแข็งเป็นสิ่งที่ต้องจับตาต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 ที่ผ่านมา เพราะบรรดาผู้ส่งออกบางส่วนเริ่มกังวลกับผลกระทบที่เกิดขึ้น เมื่อเงินบาทแข็งค่าขณะที่ทำสัญญาซื้อขายกับต่างประเทศเป็นดอลลาร์สหรัฐ นั่นคือรายได้เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทจะลดลง
ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล. ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) ให้ความเห็นกับสำนักข่าว THE STANDARD โดยเชื่อว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกายังไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่ทั่วโลกคาดหวัง ยังมีปัจจัยสำคัญจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะผลักดันเรื่องการลดภาษีส่งผลให้รายได้เข้ารัฐลดลงจะทำให้การขาดดุลบัญชีรุนแรงขึ้น แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่ก็ไม่น่าจะหยุดการอ่อนค่าต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ได้ เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการบริหารประเทศของทรัมป์
ปริญญ์คาดการณ์ว่าจะมีกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทยมากขึ้นด้วย โดยจะส่งผลให้ค่าเงินบาทปรับแข็งขึ้นอีกในระยะกลางและระยะยาว ซึ่งเป็นไปได้ว่าค่าเงินบาทอาจจะหลุด 30 บาทได้ เนื่องจากปัจจุบันตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะการส่งออกยังดีขึ้นต่อเนื่อง และภาพรวมของประเทศยังถือว่ามีความแข็งแกร่ง หากไม่ได้มีการแทรกแซงจากธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน เราอาจจะได้เห็นอัตราแลกเปลี่ยน 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ดังเช่นช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
ผู้ที่ต้องเร่งปรับตัวคือธุรกิจส่งออก ซึ่งที่ผ่านมามักจะพึ่งพาอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับการแข่งขันในตลาดโลก ถ้าเงินบาทอ่อนค่า ราคาสินค้าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งก็จะถูกลง ทำให้เกิดยอดขายเพิ่มขึ้นผันแปรตามค่าเงิน ถ้าแนวโน้มเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องแบบนี้ ผู้ประกอบการนอกจากประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนกับธนาคารแล้วยังต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมของสินค้าและบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันที่ไม่ใช่ด้านราคาเพียงอย่างเดียว และยังต้องหาตลาดใหม่ๆ สำหรับการกระจายสินค้าอีกด้วย
