วันนี้ (21 กุมภาพันธ์) นพ.อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยเด็กในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ว่าภาพรวมเด็กติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 30 จากผู้ติดเชื้อทั้งหมด แต่ความรุนแรงของโรคโควิดในเด็กไม่มาก มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 3 ที่มีอาการเปลี่ยนแปลงไปสู่สีเหลืองหรือสีแดง ส่วนใหญ่ที่มีอาการรุนแรงมักเป็นกลุ่มเด็กที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคสมอง ซึ่งเด็กที่มีโรคประจำตัว ผู้ปกครองควรพาเด็กไปรับวัคซีนโควิด เพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรค ขณะที่ร้อยละ 50 ของเด็กที่ป่วยโควิดไม่มีอาการ
โดยสถานการณ์โควิด พบเด็กติดเชื้อเพิ่มขึ้นและสถานการณ์เตียงเด็กภาพรวมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลค่อนข้างหนาแน่น ครองเตียงไปแล้วร้อยละ 80 จึงนำนโยบาย Home Isolation หรือการรักษาตัวที่บ้านมาใช้ในเด็กอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไปและไม่มีอาการ
สำหรับเด็กที่ติดเชื้อโควิดจะเข้ารับการรักษาตัวที่บ้านได้ เด็กต้องผ่านการคัดกรองว่า มีไข้ไม่สูง ไม่มีโรคประจำตัวที่รุนแรง เด็กไม่ซึม รับประทานอาหารได้ และมีพ่อแม่พร้อมให้การดูแล ส่วนเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ติดเชื้อโควิด ขอให้มาตรวจทำการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน พร้อมย้ำว่าแนวทางการรักษาโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในเด็ก รักษาตามอาการคล้ายไข้หวัด ส่วนใหญ่มีอาการ 5 วัน และดีขึ้น แต่ต้องรักษาตามอาการ 10-14 วัน หากมีอาการก็จะจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์สูตรน้ำให้รับประทาน
นพ.อดิศัยยังกล่าวถึงการนำเด็กติดเชื้อโควิดเข้าสู่ระบบการรักษาตัวที่บ้าน เมื่อเข้าระบบแล้วเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะติดตามอาการผ่านช่องทางออนไลน์หรือโทรสอบถามอาการจากผู้ปกครองวันละ 1-2 ครั้ง รวมถึงให้พ่อแม่ถ่ายวิดีโออาการของลูกให้แพทย์ดูวันละ 1 ครั้ง พร้อมมีการวัดไข้ วัดระดับออกซิเจนในเลือดจากปลายนิ้ว โดยพยาบาล 1 คนรับผิดชอบเด็ก 20-30 คน
“จากการรักษาเด็กติดเชื้อโควิดที่ผ่านมากว่า 1,000 คน พบว่ามีอาการรุนแรง 1-2% เท่านั้น ขณะที่สถานการณ์เตียงเฉพาะของโรงพยาบาลเด็ก ขณะนี้ค่อนข้างหนาแน่น ซึ่งโรงพยาบาลเด็กจะรับเด็กติดเชื้อโควิดรักษาในโรงพยาบาล เน้นกลุ่มสีเหลืองและสีแดง และมีอายุน้อยกว่า 5 ปีเป็นหลัก ส่วนใหญ่ของการนอนโรงพยาบาลเป็นแบบครอบครัว มีผู้ปกครองมานอนดูแลอาการเด็กด้วย ทำให้ที่สถาบันเด็กฯ ขณะนี้มีผู้ป่วยครองเตียง 76 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ปกครอง 20 คน และมีอาการป่วยติดเชื้อโควิดด้วย” นพ.อดิศัยกล่าวในที่สุด