เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) (KEX) รายงานขาดทุนสุทธิ 603 ล้านบาทใน 4Q64 แย่ลงจากที่มีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาทใน 3Q64 และกำไรสุทธิ 375 ล้านบาทใน 4Q63
โดยมีรายได้จำนวน 4.7 พันล้านบาท ลดลง 11.8%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 11.1%YoY ในขณะที่ต้นทุนการให้บริการอยู่ที่ 5.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8%QoQ และ 42.2%YoY ส่งผลทำให้กำไรขั้นต้นติดลบ ในขณะที่บริษัทกล่าวว่าสาเหตุเกิดจากการเตรียมทรัพยากรสำรองในการรองรับสถานการณ์โควิด ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มจำนวน 338 ล้านบาทใน 4Q64 เทียบกับ 172 ล้านบาทใน 3Q64
อย่างไรก็ตาม KEX ไม่ได้แจกแจงตัวเลขด้านการดำเนินงานใน 4Q64 แต่กล่าวว่าปริมาณการจัดส่งพัสดุในปี 2564 เติบโต 30% และกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 47 ล้านบาท ลดลง 96.7%YoY นอกจากนี้บริษัทยังประกาศงดจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงาน 2H64 ด้วย
กระทบอย่างไร:
ในวันนี้ (15 กุมภาพันธ์) ราคาหุ้น KEX ปรับตัวลดลง 5.06%DoD อยู่ที่ระดับ 22.50 บาท แย่กว่า SET Index ที่ปรับตัวขึ้น 0.99%DoD สู่ระดับ 1,701.45 จุด
มุมมองต่อผลประกอบการและการเติบโตในปี 2565:
SCBS ประเมินผลประกอบการใน 4Q64 ออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ โดย KEX รายงานขาดทุนสุทธิที่ 603 ล้านบาท กับขาดทุนที่ Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 272 ล้านบาท โดยเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากรายได้ต่อชิ้นที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งสะท้อนในรายได้ที่ลดลง และต้นทุนการให้บริการที่สูงกว่าคาด
ส่วนใน 1H65 คาดว่าผลประกอบการน่าจะยังคงมีขาดทุนสุทธิ จึงทำให้ยังมองไม่เห็นปัจจัยบวกที่จะช่วยกระตุ้นให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะ 3 เดือนข้างหน้านี้ และไม่น่าจะ Outperform SET ได้ ทั้งนี้ SCBS ได้ปรับประมาณการกำไรปี 2565 ลดลงจากกำไร 586 ล้านบาท สู่ระดับคุ้มทุน
ด้านผู้บริหารคาดว่าปริมาณการจัดส่งพัสดุจะเติบโต 30% ในปี 2565 โดยจะใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบ Smart Pricing ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันด้านราคา ลดต้นทุนต่อชิ้นลง 20% และลดค่าใช้จ่ายในการเตรียมทรัพยากรสำรอง
ด้วยเหตุนี้ SCBS จึงเชื่อว่าผลประกอบการของ KEX จะยังคงติดลบใน 1H65 ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวใน 2H65 ซึ่งคาดว่าค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มในการเตรียมทรัพยากรสำรองน่าจะยังมีอยู่ใน 1H65 เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และการลดต้นทุนต่อชิ้นลงน่าจะเป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงไม่คิดว่าการแข่งขันด้านราคาจะลดลงในปี 2565
นอกจากนี้การประกาศร่วมทุนกับ CRC ในธุรกิจขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ชื่อว่า ‘Kerry XL’ ผู้บริหารมองว่าตลาดกลุ่มนี้น่าสนใจ เนื่องจากยังไม่มีผู้นำตลาดที่ชัดเจน (ผู้ประกอบการ 5 อันดับแรกมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันไม่ถึง 15%) และตลาดยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น (ราว 23% ของตลาดโลจิสติกส์ในประเทศทั้งหมด) โครงสร้างการถือหุ้นจะอยู่ที่ KEX ถือ 51% และ CRC ถือ 49% โดยเงินลงทุนเริ่มแรกจะอยู่ที่ 120 ล้านบาท และจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการใน 2Q65 ซึ่ง SCBS ไม่คิดว่าบริการนี้จะสร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2565
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP