เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประเด็นที่ทุกคนบนโลกใบนี้จะไม่สนใจไม่ได้แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่เป็นประจักษ์พยานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย พายุหิมะ แผ่นดินถล่ม ไฟป่าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นในปีที่ผ่านมา แสดงให้มนุษย์เห็นแล้วว่าถ้าเราจะรักษาโลกใบนี้ไว้ให้อยู่ในสภาพที่คนรุ่นหลังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เราทุกคนต้องช่วยกันสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
สังเกตได้ว่าระยะหลังๆ คนรุ่นใหม่กำลังกลายเป็นพลังสำคัญที่เข้ามาขับเคลื่อนเรื่องนี้ ผมว่าเป็นแนวโน้มที่ดีและจะเป็นพลังผลักดันที่สำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เรามีตัวอย่างชัดเจนอย่างสาวน้อย เกรตา ธันเบิร์ก บุคคลแห่งปี 2019 ของนิตยสาร Time ผู้กลายเป็นสัญญลักษณ์การต่อสู้เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงที่เป็นตัวอย่างแรงบันดาลใจให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ทั่วโลกหันมาให้การสนับสนุนและสนใจเรื่องนี้ ปลุกกระแสเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าการนั่งโต๊ะประชุมขององค์กรใหญ่ๆ เสียอีก
สาวน้อยธันเบิร์กกล่าวไว้ว่า “ความหวังไม่ใช่แค่ลมปาก แต่คือการลงมือทำจริง” สะท้อนสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการเห็น คือทุกภาคส่วนลงมือทำจริง ช่วยกันสร้างองค์ประกอบสภาพแวดล้อมที่จุดประกายความหวังและแรงบันดาลใจให้คนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมีเรี่ยวแรงเดินหน้าต่อ
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นภาครัฐเร่งลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าให้เร็วที่สุด พิจารณาอัตราภาษีพิเศษสำหรับธุรกิจที่สนับสนุนพลังงานสะอาดแบบจับต้องได้ ภาคการเงินสนับสนุนให้ SMEs บริษัทเล็กๆ ที่ทำธุรกิจสีเขียวได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น เช่นเงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษสำหรับธุรกิจสีเขียวต้องมี ตราสารหนี้ธุรกิจสีเขียวตั้งเป้าไว้เลยปีละ 1 แสนล้าน แต่ละธนาคารรับเป้าแบ่งเค้กกันไป โดยรัฐบาลยอมให้เงินชดเชย (Subsidy) 3% ก็ได้ ใครมาก่อนได้ก่อน
ตลาดหลักทรัพย์ควรผ่อนผันเงื่อนไขการเข้าตลาดสำหรับธุรกิจกลุ่มสีเขียวที่รู้กันอยู่ว่าต้นทุนสูง-กำไรต่ำ และกำไรอาจมาช้ากว่าปกติ ลดเงื่อนไขที่ต้องมีกำไร 30-50 ล้านบาทลงเหลือ 10-15 ล้านบาทได้ไหม เมื่อบริษัทพวกนี้สามารถระดมทุนได้แล้วธุรกิจประสบความสำเร็จก็จะกลายเป็นผู้จ้างงานที่คนรุ่นใหม่อยากเข้าทำงานด้วย และเป็นแรงบันดาลใจให้กับ SMEs อื่นๆ เดินในแนวทางนี้ได้
ถ้าหากแนวทางจากภาครัฐและภาคการเงินเริ่มต้นแบบนี้ได้ ผมเชื่อว่าภาคธุรกิจเอกชนก็จะมีแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อลดมลพิษและลดมลภาวะอย่างแน่นอน
ง่ายนิดเดียวครับ แค่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังเรียกประชุมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์, ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้วเดินหน้าเลย รับรองไม่เกิน 3 เดือนครับ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้แน่
