แซมมี่-ภัคธีมา ชิลเลอร์ หรือ SAMMii คือศิลปินหญิงคนล่าสุดจากค่าย Universal Music Thailand ที่ปล่อยผลงานเพลงออกมาแล้วจำนวน 3 เพลงด้วยกันคือ ทานตะวัน, ปราสาทวังวน และซิงเกิลล่าสุดอย่าง Plaster ที่เธอได้มีโอกาสร่วมงานกับ แทน-ธารณ ลิปตพัลลภ แห่งวง Lipta ซึ่งความโดดเด่นในทุกๆ ผลงานของเธอคือเนื้อหาของเพลงที่หยิบนำสิ่งของรอบตัวมาเปรียบเปรยถึงเรื่องราวความรักได้อย่างคมคาย รวมถึงเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชักชวนให้ผู้ฟังดำดิ่งไปกับอารมณ์ของบทเพลง ทั้งหมดนี้จึงส่งให้ชื่อของแซมกลายเป็นศิลปินหญิงหน้าใหม่ที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง
เพื่อให้แฟนๆ ได้มาทำความรู้จักกับคุณทานตะวันคนนี้มากยิ่งขึ้น THE STANDARD POP จึงถือโอกาสชวนแซมมาร่วมพูดคุยถึงจุดเริ่มต้นในการแต่งเพลง การข้ามผ่านความกลัวในวัยเด็ก ความหลงใหลในงานศิลปะ และที่มาของผลงานทั้ง 3 เพลงที่เธอหวังว่าเพลงเหล่านี้จะมีความหมายต่อใครสักคน
ถ้าย้อนกลับไปในวัยเด็ก ความฝันแรกๆ ของแซมคืออะไร
เราอยากเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ ตอนเด็กๆ ที่เราเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ มีอยู่ครั้งหนึ่งครูพาเราไปดูเต่าทอง แล้วเราเป็นคนชอบเด็ก เราอยากอยู่กับเด็กๆ ตอนนั้นเลยจินตนาการว่าโตขึ้นชั้นจะต้องเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ แล้วพาเด็กๆ ไปดูเต่าทองให้ได้ แต่พอโตมาก็รู้ว่าอย่าเลย ช่างมันเถอะ (หัวเราะ) เพราะเกรดไม่ไหวมากๆ
แต่จริงๆ เราอยากเป็นนักดนตรีมาตลอดนะ อยากทำงานอยู่ตรงนี้มาตลอด เราอยากเป็นอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับงานเบื้องหลัง เป็นนักแต่งเพลง เป็น Sound Engineer หรืออะไรก็ได้ แต่เราไม่เคยคิดจริงๆ ว่าจะได้มาทำเบื้องหน้า ซึ่งตอนนี้เราก็ทำทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังอยู่
แซมเริ่มเล่นดนตรีมาตั้งแต่เมื่อไร
แซมเล่นดนตรีครั้งแรกตอนอายุ 4-5 ขวบ เครื่องดนตรีเครื่องแรกที่เราจับคือเปียโนคลาสสิก ตอนนั้นจำได้ว่าเราไปเห็นโชว์เปียโนในห้าง แล้วเราอยากเล่นได้แบบเขาบ้าง เราเลยขอแม่เรียนเปียโน เหมือนตอนนั้นคนที่บ้านก็สนับสนุนเรื่องการหาความชอบของเราอยู่แล้วด้วย
จริงๆ ตอนเด็กเราเรียนเยอะมากเลยนะ เราเรียนบัลเลต์ เรียนเทควันโด้ เรียนวาดรูป ตามที่เด็กๆ เขาเรียนกัน แล้วทุกวันนี้สิ่งที่เรายังเรียนอยู่ก็มีเปียโนกับศิลปะที่เรายังชอบอยู่
ถ้าลองหยิบครูสอนวิทยาศาสตร์กับการเป็นนักดนตรีมาวางคู่กัน การทำเพลงก็ดูคล้ายๆ กับการทดลองวิทยาศาสตร์อยู่เหมือนกันนะ
แซมว่าการทำเพลงมันเหมือนการที่เราลองทำไปเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้แซมก็ยังลองอยู่ สังเกตว่า 3 เพลงที่แซมปล่อยออกมา ไม่มีเพลงไหนที่เหมือนกันเลย เพราะว่ามันคือการทดลองของแซม แซมไม่ได้คิดถึงเรื่องไหนเลยนอกจากแซมชอบที่จะทดลอง เหมือนเป็นความสนุกในพื้นที่ของแซม แล้วคนอื่นก็ชอบมันด้วย มันก็สนุกดีนะ
แซมเคยเล่าว่าแซมเริ่มแต่งเพลงครั้งแรกตอนอายุ 13 ปี จุดเริ่มต้นที่ทำให้แซมเริ่มแต่งเพลงคืออะไร
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราชอบการเขียนเป็นพิเศษ เราเคยแต่งนิยายมาก่อน จำได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักแบบเด็กๆ ตอนนั้นตื่นมาเขียนทุกวัน เขียนตั้งแต่เช้าจนเย็น ใช้เวลาตอนช่วงปิดเทอมทุกวัน แล้วก็ทำให้เราหลงใหลในการเขียนมากๆ บวกกับตอนนั้นเราเล่นดนตรีอยู่แล้ว มารวมวงกับเพื่อน เราเลยอยากจะเขียนเพลงของตัวเองขึ้นมา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Passion เรื่องการเขียนกับดนตรีมันมาควบคู่กัน ไฟแรงมากจนเราอยากจะลองไปหมดเลย เราก็เลยเริ่มจากการเอาบีตฟรีบนยูทูบมาแต่ง เลยกลายเป็นเพลงแรกที่เราแต่งเป็น Mix Tape ขึ้นมา
มีหนังสือหรือนักเขียนที่เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนของเราบ้างไหม
เราอ่านหนังสือบทกวีเยอะนะ แต่ว่าเล่มที่เป็นแรงบันดาลใจของเรามากๆ น่าจะเรื่อง Milk and Honey ของ Rupi Kaur เราชอบนักเขียนคนนี้มาก เราเชื่อมโยงกับเขาได้ในหลายๆ เรื่องเลย เล่มนี้น่าจะเป็นหนังสือที่เราอ่านตอนช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย แล้วทำให้เราเริ่มอยากเขียนบทกวีมากขึ้น นอกจากนี้ก็มี ทานตะวันบนดวงจันทร์ ของ Atompakon มี Harry Potter ของ J.K. Rowling ส่วนใหญ่เราจะอ่านวรรณกรรมเด็กเยอะ ใช้ภาษาเด็กๆ แต่ว่าเป็นภาษาของนักเขียนที่โตแล้ว
เมื่อก่อนเราคิดว่าการที่เราจะเขียนเพลงออกมาสักเพลงหนึ่ง เอาความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดออกมาไว้บนโลกใบนี้ วันหนึ่งเราตายมันก็ยังอยู่ เราเลยรู้สึกว่ามันน่ากลัวมาก แล้วเราก็คิดว่าศิลปินทุกคนเป็นผู้กล้าทั้งหมดเลย คนที่สร้างอะไรก็ได้ขึ้นมาบนโลกใบนี้ แล้ววันหนึ่งคุณตายไปแต่มันก็ยังอยู่
แซมเคยเล่าว่าตอนอายุ 16 ปี การเขียนเพลงเป็นสิ่งที่ตัวเองกลัวมากที่สุด อะไรทำให้แซมรู้สึกแบบนั้น
มันเหมือนกับเราเขียนไดอะรีแล้วให้คนอื่นอ่าน แล้ววันหนึ่งเรารู้สึกแย่กับสิ่งที่เราเขียนแต่คนอื่นไม่รู้ เราเลยรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เมื่อก่อนเราคิดว่าการที่เราจะเขียนออกมาสักเพลงหนึ่ง เอาความคิดของตัวเอง เอาความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดออกมาไว้บนโลกใบนี้ วันหนึ่งเราตายมันก็ยังอยู่ เราเลยรู้สึกว่ามันน่ากลัวมาก แล้วเราก็คิดว่าศิลปินทุกคนเป็นผู้กล้าทั้งหมดเลย คนที่สร้างอะไรก็ได้ขึ้นมาบนโลกใบนี้ แล้ววันหนึ่งคุณตายไปแต่มันก็ยังอยู่ เรารู้สึกว่ามันทำให้โลกเป็นโลก
แซมข้ามผ่านความกลัวเหล่านั้นของตัวเองมาได้อย่างไร
เราเคยเป็นซึมเศร้าอยู่ช่วงหนึ่งตอนอายุ 13 ปี แล้วพอวันหนึ่งมันหาย มันเหมือนปลดล็อกตัวเรา แต่ว่าทุกวันนี้เราก็ยังเป็น Panic อยู่เล็กๆ ที่ยังต้องรักษาไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายแล้วเราว่าทั้งหมดที่เราทำในตอนนี้ การที่เราเอาความคิดของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้ฟัง สำหรับเรามันเป็นความกล้าที่ยิ่งใหญ่มากๆ ที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะทำได้
คิดว่าตัวแซมตอนอายุ 16 ปี กับตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน
มีเยอะเลย อย่างที่บอกคือเรามีความกล้ามากขึ้น จริงๆ ตอนช่วงอายุ 13-14 ปี เราไม่กล้าแม้แต่จะร้องเพลงเลย เราไม่ได้เติบโตมากับการที่เราอยากจะร้องเพลงต่อหน้าทุกคน เราไม่ใช่คนอย่างนั้น ตอนเด็กๆ เราชอบเอาเสียงของตัวเองไปเปรียบเทียบกับเสียงของผู้หญิงคนอื่น ด้วยความที่เราเป็นลูกครึ่งแล้วกล่องเสียงเราจะใหญ่กว่าเด็กผู้หญิงทั่วไป บางคำเวลาเราพูดภาษาไทยคนก็จะเข้าใจผิดว่าเราพูดภาษาไทยไม่ชัด แต่ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันเป็นกล่องเสียงเราเฉยๆ ตอนเด็กๆ เราเลยไม่ค่อยมั่นใจเรื่องเสียงของตัวเอง
แต่ว่าเหตุผลที่เรามาร้องเพลงเพราะเราอยากจะร้องในสิ่งที่ตัวเองเขียน แล้วก็เรื่องของ Mindset ความมั่นใจต่างๆ นานา ทุกวันนี้เราก็ยังเป็นคนขี้อายอยู่บ้าง เรื่องการแสดงเราก็ยังต้องพัฒนาอีกเยอะเลย คิดว่าเดี๋ยวตัวเราก็คงเปลี่ยนไปอีก
แซมเข้ามาเป็นศิลปินในสังกัด Universal Music Thailand ได้อย่างไร
เมื่อก่อนเราชอบลงเพลงคัฟเวอร์ของตัวเองบนอินสตาแกรม แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีนักดนตรีหลายคนเข้ามาในอินสตาแกรมของเรา แล้วก็ไปแชร์กันในกลุ่มเล็กๆ จนไปถึงพี่พอล สิริสันต์ ผู้บริหารค่าย Universal Music Thailand หลังจากนั้นเขาก็ติดต่อมาหาเรา
ที่เราตัดสินใจเซ็นสัญญาเพราะเราอยากลองล้วนๆ เลย เราไม่รู้หรอกว่าเราต้องไปทำอะไรบ้าง แต่รู้ว่าได้ทำเพลง ก่อนหน้านี้ปกติเราเป็นคนเขียนเพลงอยู่ในห้องนอน ไม่มีไมค์ ไม่มีอะไรเลย อัดเสร็จแล้วก็ปล่อย ซึ่งเราไม่เคยคิดเลยว่าเราจะได้เอาเพลงของตัวเองไปอัดในห้องอัดใหญ่ๆ
มีเรื่องอะไรบ้างที่แซมกลัวหรือกังวลเมื่อก้าวมาเป็นศิลปิน
เรื่องการแสดงสดที่เรารู้สึกว่าตัวเองยังไม่ถนัด เพราะตั้งแต่ปล่อยเพลงออกมา ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ก็ทำให้เรายังไม่ได้ออกไปเล่นดนตรีหลายๆ เวทีมากนัก ได้เล่นแค่ Live Session ให้คนดูทางออนไลน์ การแสดงสดน่าจะเป็นเรื่องที่เรายังไม่ถนัด เพราะเราค่อนข้างเป็นคนขี้อายด้วย
ถ้าให้เลือกเวทีแรกที่แซมอยากไปเล่นให้คนดูฟังสดๆ แซมอยากไปเวทีไหน
Cat Expo (ตอบทันที) เพราะเราก็เคยเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไปดูงาน Cat ไปดูศิลปิน ไปตะโกนร้องเพลงพี่ป๊อด Modern Dog เหมือนกัน เราเลยอยากจะไปเล่นที่งาน Cat เป็นที่แรก
ทานตะวัน เป็นอีกเพลงที่มีความหมายต่อใครหลายคนมากๆ เพราะเป้าหมายในการทำเพลงของเรามันไม่ใช่การให้คนมาสนใจเยอะๆ แต่เราอยากให้เพลงของเรามีความหมายสำหรับใครสักคนหนึ่ง เราเป็นคนที่แคร์กับอะไรพวกนี้มากๆ
เพลงแรกที่แซมปล่อยออกมาในฐานะศิลปินคือ ทานตะวัน ทำไมเราถึงเลือกเพลงนี้เป็นเพลงเปิดตัวของเรา
เราคุยกันอยู่นานมากว่าจะปล่อยเพลงไหนก่อน แต่เพลง ทานตะวัน เป็นเพลงเดียวที่แซมรู้สึกว่ามันเป็นโฟล์ก แล้วมีกลิ่นอายที่มีความเป็นแซมสูงมาก ต่อให้จะผ่านไปกี่ปีก็จะยังเป็นแซม แล้วแซมก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับมัน เราเลยเลือกที่จะปล่อยเพลงนี้ก่อนเพราะเราอยากให้คนจดจำเราแบบนี้ แล้วตอนนี้กลายเป็นว่ามีคนฟังเรียกเราเป็นคุณทานตะวันไปแล้ว เวลาเขียนชื่อเราบนอินเทอร์เน็ตก็จะมีอิโมจิเป็นทานตะวันเล็กๆ น่ารักดี
มิวสิกวิดีโอเพลง ทานตะวัน
แซมรู้สึกอย่างไรบ้างหลังจากที่มิวสิกวิดีโอ ทานตะวัน ปล่อยออกมา
แฮปปี้มาก เพราะเพลงนี้เป็นอีกเพลงที่มีความหมายต่อใครหลายคนมากๆ เพราะเป้าหมายในการทำเพลงของเรามันไม่ใช่การให้คนมาสนใจเยอะๆ แต่เราอยากให้เพลงของเรามีความหมายสำหรับใครสักคนหนึ่ง เราเป็นคนที่แคร์กับอะไรพวกนี้มากๆ
แซมกังวลไหมว่าจะมีคนเข้าใจเพลงของเราหรือเปล่า
เราคิดเรื่องนี้บ่อยมากว่าคนจะเข้าใจในสิ่งที่เราเขียนไหม เพราะเราเป็นคนที่ชอบเปรียบเปรย บางทีเรารู้สึกว่าดนตรีของเราอาจจะเป็นอะไรที่คนเข้าใจยากหรือเปล่า เราไม่ได้คิดว่าคนจะเข้าถึงมันหรือมองเห็นมันมากแค่ไหน แต่เราแคร์ว่าคนจะเข้าใจหรือเปล่ามากกว่า อย่างเพลง Plaster ก็เป็นอีกเพลงที่เราคิดว่าคนจะเข้าใจยากหรือเปล่า แต่ว่าสุดท้ายคนเข้าใจมันมากกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย
มิวสิกวิดีโอเพลง ปราสาทวังวน
เพลงต่อมาคือ ปราสาทวังวน จุดเริ่มต้นของเพลงนี้มาจากอะไร
คนมักจะพูดกันว่า ‘งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา’ เราเลยเอามาเปรียบเทียบกับความคิดของเราให้เป็นเหมือนงานเลี้ยงที่ไม่มีวันเลิกรา เป็นอาการของคนคิดมาก ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวเราตลอดเวลา ไม่มีทางออก เหมือนเรากำลังวิ่งอยู่ใน ปราสาทวังวน
มีเรื่องอะไรบ้างที่แซมมักจะคิดวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา
เรื่องที่ต้องทำ เรื่องตัวเอง เรื่องคนอื่น เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว เรื่องทั่วไป ซึ่งบางทีเราก็ทำอะไรไม่ได้ เราเป็นพวกที่ถ้าคิดมากแล้วเราก็จะปล่อยให้ตัวเองคิดมาก เพราะเรารู้ดีว่าเดี๋ยวมันก็ต้องหยุด เดี๋ยวมันก็ต้องมีเรื่องอื่นที่ทำให้เราลืมเรื่องเก่าๆ เราเลยปล่อยให้มันคิดไปเรื่อยๆ
มิวสิกวิดีโอเพลง Plaster
มาถึงเพลงล่าสุดอย่าง Plaster ซึ่งเป็นเพลงที่แซมได้ร่วมงานกับ แทน Lipta ด้วย
Plaster เป็นเพลงแรกที่แซมได้รับฟังคนอื่นในเรื่องการเขียนเพลงคือพี่แทน Lipta พี่แทนเป็นคนที่ช่วยแซมโปรดิวซ์เพลงนี้ แล้วก็คอยตบๆ เนื้อเพลงให้ อารมณ์เหมือนเขียนเพลงส่งอาจารย์เลย (หัวเราะ) ให้พี่แทนดูให้ว่าคำนี้เปลี่ยนเป็นอันนี้ดีไหม แก้คำเล็กๆ น้อยๆ ที่เราคิดว่ามันยังแปลกๆ อยู่
ส่วนที่มาของเพลงเริ่มมาจากเราไปเจอชื่อเพลย์ลิสต์ของคนคนหนึ่ง เขาตั้งชื่อเพลย์ลิสต์ว่า Plaster เพื่อที่จะให้เพลงพวกนั้นช่วยบรรเทาจิตใจของเขา แล้วเราก็อยากรู้ด้วยว่าถ้าเอาคำว่า Plaster มาร้องเพลงจะเพราะไหม เราก็เลยเอามาแต่ง แล้วก็ดันตรงกับชีวิตตัวเอง เพลงนี้พูดถึงความสัมพันธ์ที่เราเปรียบให้ตัวเองเป็น Plaster ต่อให้เราจะรักษาเขาแค่ไหน สุดท้ายเขาก็เลือกคนนั้น เป็นรักสามเส้าเหมือนเพลง ทานตะวัน
ประสบการณ์ที่ได้ร่วมงานกับแทน Lipta เป็นอย่างไรบ้าง
พี่แทนบอกอย่าคิดอะไรเยอะ แล้วเราก็ได้รู้เทคนิคหลายๆ อย่างด้วย ปกติแซมเป็นคนที่เขียนเพลงเหมือนเขียนเรียงความ แซมไม่เคยลองที่จะกระโดดไปอันนี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาอันนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่แซมคิดว่าตัวเองไม่ถนัด แต่พอนั่งฟังพี่แทนแล้วพี่แทนบอกให้ลอง เราก็เลยลองเขียนดู แล้วมันก็ง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลย
เราว่าคำว่าสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง เหมือนคำว่าสมบูรณ์แบบมันคือสิ่งที่คนสร้างมันขึ้นมา เพื่อที่จะให้รู้ว่าฉันต้องไปถึงจุดไหนถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบ แต่ว่าสุดท้ายแล้วศิลปะมันไม่มีตรงนั้น มันเลี้ยวได้ระหว่างทางตลอด แล้วมันก็สวยงามในแบบของมัน จะสวยไม่สวยขึ้นอยู่กับความชอบของคนหมดเลย
นอกจากเรื่องเพลง เราเห็นว่าแซมมีความสนใจด้านศิลปะด้วย ตอนนี้แซมกำลังทำงานศิลปะอะไรอยู่บ้าง
ตอนนี้แซมพยายามจะทำเป็นคอลเล็กชันที่ชื่อว่า half a freak, half a geek จะมีสติกเกอร์แล้วก็มีโปสการ์ด แล้วเราก็วาดรูปลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ๆ โดยใช้สีอะคริลิกทำเป็นโปสการ์ดขายด้วย รอติดตามกันได้ค่ะ เราทำเล่นๆ แต่ก็มีคนสนใจเยอะเหมือนกัน
แซมเริ่มมาคลุกคลีกับการทำงานศิลปะตั้งแต่เมื่อไร
ตอนเด็กๆ เราเคยเรียนโรงเรียนแบบบูรณาการมาก่อน เป็นโรงเรียนที่พาให้เราอยู่กับศิลปะ การเขียนอะไรพวกนี้เยอะ เราจำได้ว่าตอนเด็กๆ ทุกครั้งที่ทำงานเสร็จครูจะให้เขียนเป็นนิทานสักเรื่องหนึ่ง แล้วก็ให้วิ่งรอบโรงเรียนไปเล่าให้ใครฟังก็ได้ แล้วก็ให้เขาคอมเมนต์มา แล้วก็มีปีนต้นไม้ เล่นกับดินกับทราย แล้วเราก็ปลูกต้นไม้ด้วยกัน ลงไปรดน้ำทุกเที่ยงรอให้มันโต เราโตมากับอะไรแบบนี้ ทุกวันนี้ยังคิดถึงอยู่เลย
แล้วเราก็เติบโตมากับเพื่อนๆ ที่มีอะไรคล้ายๆ กับเรา ทุกวันนี้พวกเขาก็ทำอะไรคล้ายๆ กับเรา เป็นนักเขียน เป็นคนที่สร้างงานศิลปะทั้งหมดเลย แล้วมันแปลกมากเลยที่ตอนเด็กๆ เราเติบโตมาด้วยกัน พอโตมาเราก็ทำอะไรคล้ายๆ กันด้วย แล้วทุกวันนี้ก็ยังคุยกันอยู่ เราคิดว่ามันอยู่ในทุกๆ บทสนทนาที่เราคุยกับคนรอบข้าง บรรยากาศรอบๆ ตัว เราก็หยิบมาเขียนเป็นบทกวีได้แล้วบทหนึ่ง ประสบการณ์เหล่านี้มันหล่อหลอมให้กลายมาเป็นเราในทุกวันนี้
อะไรคือสิ่งที่ทำให้แซมเริ่มหลงใหลในงานศิลปะ
ศิลปะเหมือนเป็นที่ที่เราไม่ต้องคิดอะไรมาก น่าจะเป็นพื้นที่เดียวเลยที่เราได้อยู่กับตัวเอง แค่วาดเส้นออกมาเรื่อยๆ ตามความคิดตอนนั้น แล้วเราก็ไม่ได้คาดหวังว่างานของเราจะต้องออกมาสวยมากๆ เราชอบที่มันไม่สมบูรณ์แบบดี มันเปลี่ยนไปได้ตลอด ไม่มีกฎตายตัว
เราว่าคำว่าสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริงด้วยซ้ำ เหมือนคำว่าสมบูรณ์แบบคือสิ่งที่คนสร้างมันขึ้นมา เพื่อที่จะให้รู้ว่าฉันต้องไปถึงจุดไหนถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบ แต่ว่าสุดท้ายแล้วศิลปะมันไม่มีตรงนั้น มันเลี้ยวได้ระหว่างทางตลอด แล้วก็สวยงามในแบบของมัน จะสวยไม่สวยขึ้นอยู่กับความชอบของคนหมดเลย
แซมมีความคิดเห็นอย่างไรกับประเด็นที่ว่า คนส่วนใหญ่มักจะมองว่าคนทำงานศิลปะเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง
เราคิดว่าเป็นเรื่องของสภาวะแวดล้อมทั้งหมดเลย อย่างในประเทศนี้เรารู้สึกว่าคนให้คุณค่ากับงานศิลปะน้อยมาก เราเคยเห็นงานศิลปะของเพื่อนบางคนที่เรารู้สึกว่าแกอยู่ผิดที่มากเลยอะ มันไม่ใช่ว่างานแกไม่สวยนะ แกแค่อยู่ผิดที่ เหมือนคนยังมองไม่เห็นถึงคุณค่าของมันมากพอ
เราว่าคนทำงานศิลปะโคตรเจ๋งเลยนะ แต่เราแค่อยู่ในที่ที่คนไม่ได้มองเห็นคุณค่าของมัน เราไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่คนจะซัพพอร์ตมันมากพอ ยังไม่กว้างมากพอ เราว่าศิลปะทุกชิ้นไม่มีคนมาซัพพอร์ตไม่ได้หรอก สุดท้ายแล้วงานทุกชิ้นต้องการคนซัพพอร์ต ต้องการคนเห็นมันเยอะๆ
ตัวแซมเองมีความกังวลเรื่องนี้ไหม
มี ทุกวันนี้เรายังแอบคิดเล็กๆ เลยว่าเราจะต้องทำเพลงอย่างไรให้คนมองเห็นคุณค่าของมัน เป็นความคิดเล็กๆ อยู่ในหัว แต่สุดท้ายแล้วเราก็ทำตามใจเราแหละ เลยกลายเป็นว่าเราไม่ได้คาดหวังว่าเพลงที่ออกไปคนจะต้องเห็นคุณค่าของมันมากแค่ไหน แค่มีคุณค่าสำหรับใครสักคนก็พอ เพราะเรามองว่าเป็นงานศิลปะ สุดท้ายแล้วเราว่ามันขึ้นอยู่กับตัวคนสร้างเลยว่า อยากที่จะให้มันเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับมุมมอง
ตอนนี้เราได้ปล่อยเพลงของตัวเองออกมาแล้ว ได้เป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว เป้าหมายต่อไปของแซมคืออะไร
เราว่าเราอยากจะทดลองแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราอยากให้ชีวิตเราเป็นการทดลอง เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันหนึ่งเราอาจจะไปขายของอยู่ที่เกาะไหนสักแห่ง เอางานศิลปะเราไปขาย ไปวาดรูปขาย แล้ววันดีคืนดีเราก็นั่งเล่นดนตรี แต่ว่าถ้าเป็นตอนนี้เราอยากให้มีคนมองเห็นคุณค่าในเพลงของเราเพิ่มมากขึ้น
ถ้าการเขียนเพลงของแซมเป็นเหมือนการทดลอง นับตั้งแต่วันที่แซมเริ่มทดลองเขียนเพลงครั้งแรกจนถึงตอนนี้ ผลลัพธ์ที่แซมได้เรียนรู้จากการทดลองครั้งนี้คืออะไร
มันส่งผลกับทุกอย่างในชีวิตเราเลยนะ เวลาเราเขียนเพลงเพลงหนึ่งเสร็จ คาแรกเตอร์เราก็เปลี่ยนไปนิดหนึ่งด้วย เขียน ทานตะวัน เสร็จก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง เขียน Plaster เสร็จก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งเราชอบคาแรกเตอร์เราตอนนี้มากๆ เรายังอยากที่จะเก็บความเป็น Plaster เอาไว้อยู่
ถ้าให้นิยามตัวตนของแซมในตอนนี้ แซมเป็นคนแบบไหน
(คิดนาน) เราซับซ้อน (หัวเราะ) เราเป็นคนที่เหมือนจะไม่ Introvert แต่ก็ Introvert เราชอบคุยกับคน เราชอบทำความรู้จักกับคน แต่เราอยู่กับเขานานๆ ไม่ได้ จริงๆ มีหลายคนมากที่ไม่กล้าเข้ามาคุยกับเราเพราะคิดว่าเราเข้าถึงยาก อย่างเพื่อนที่เรียนชั้นเดียวกัน อยู่ด้วยกันมา 3-4 ปี แต่ไม่เดินเข้ามาคุยเลย จริงๆ แล้วเราอยากให้คนเข้ามาคุยกับเรามากนะ เราไม่ได้เข้าถึงยากขนาดนั้น แค่ต้องเข้าใจกันว่าเรามีพื้นที่ของเรา ด้วยความที่เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงด้วย
แล้วเราก็เป็นคนที่ชอบให้กำลังใจคนอื่น ถ้าลองสังเกตในเพลง ทานตะวัน กับ Plaster เราเป็นบุคคลที่สามมาโดยตลอด เราเป็นเหมือนคนที่คอยฮีลคนอื่นมาโดยตลอด เหมือนเคยมีคนทักมาหาเราประมาณว่า แซมเป็นคนแบบนี้แล้วแซมก็เขียนเพลงแบบนี้จริงๆ ด้วย พอเราลองมาคิดตามก็เออจริงนะ เหมือนเราเป็นพระรองมาโดยตลอด
มีการทดลองอะไรอีกบ้างที่แซมยังไม่เคยทดลอง แล้วอยากจะลองลงมือทำสักครั้ง
เราอยากหายไปสัก 2-3 ปี ไปต่างประเทศ ไปเช่ารถบ้าน แล้วก็ขับรถไปเรื่อยๆ ไปเล่นดนตรีในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเรา เราอยากทำอะไรแบบนั้น แต่ก่อนอื่นขอเก็บเงินก่อน (หัวเราะ)