แพลตฟอร์ม Facebook จากบริษัทแม่อย่าง Meta จะไม่ใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าสำหรับรูปภาพและวิดีโอที่แชร์บนแพลตฟอร์มอีกต่อไป โดยกล่าวว่าบริษัทจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง ผลประโยชน์ที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ กับความกังวลที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้ต่อเทคโนโลยีนี้
Facebook ได้มีการใช้ระบบจดจำใบหน้ามาตั้งแต่ปี 2010 แล้ว เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้แท็กเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัวในรูปภาพและวิดีโอ รวมถึงสามารถเตือนผู้ใช้หากมีผู้ใช้รายอื่นอัปโหลดรูปภาพที่มีพวกเขาอยู่ และในปี 2017 Facebook ผู้ใช้เริ่มสามารถตั้งค่าระบบจดจำใบหน้าด้วยตัวเองได้ ซึ่งผู้ใช้สามารถปิดการใช้ระบบจดจำใบหน้าได้ และล่าสุดในปี 2019 Facebook ได้ปิดฟีเจอร์นี้เป็นค่าเริ่มต้น แต่ผู้ใช้ก็สามารถเลือกเปิดใช้ได้ในส่วนตั้งค่า
Facebook กล่าวในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน ว่าจะเลิกใช้ระบบจดจำใบหน้านี้ด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัว และจะลบข้อมูลใบหน้าที่ได้จดจำไว้จำนวนมากกว่า 1 พันล้านใบหน้า ที่รวบรวมไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ใช้มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ใช้งาน Facebook ที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี้กำลังใช้ระบบจดจำใบหน้านี้
การจดจำใบหน้าโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นที่ถกเถียงกันทั่วทั้งอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่บน Facebook เท่านั้น นอกจากนั้นในปี 2020 Facebook ต้องเสียเงินเป็นจำนวนกว่า 650 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.1 หมื่นล้านบาท เพื่อยุติคดีทางกฎหมายที่ Facebook ถูกกล่าวหาว่าเก็บรวบรวมข้อมูลทางชีวภาพของผู้ใช้ หรือข้อมูล Biometric อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเก็บข้อมูลของผู้ใช้โดยที่ไม่ได้รับความยินยอม
“เทคโนโลยีใหม่ทุกๆ อย่าง นำมาซึ่งประโยชน์และความกังวลทั้งนั้น ซึ่งเราต้องการที่จะหาจุดสมดุลที่เหมาะสม” Meta เขียนไว้ในโพสต์ “ในกรณีของระบบจดจำใบหน้า บทบาทระยะยาวของมันในสังคมจะต้องมานั่งถกเถียงกันอย่างเปิดเผย และต้องถกเถียงในหมู่ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสิ่งนี้ด้วย”
นอกจาก Facebook แล้ว Amazon.com Inc., Microsoft Corp. และ Google ของ Alphabet Inc. ก็ถูกฟ้องในข้อหาใช้ซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าเช่นกัน อย่าง Amazon ที่จำหน่ายอุปกรณ์กล้องรักษาความปลอดภัยอย่าง Ring และผลิตภัณฑ์รักษาความปลอดภัยในบ้านตัวอื่นๆ ก็มีการหยุดใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าจากการถูกบังคับใช้กฎหมาย หลังจากพบว่าระบบมีปัญหาในการระบุใบหน้าของบุคคลผิวสี
บริษัท Clearview AI Inc. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าอีกรายหนึ่ง ได้รับการร้องเรียนจากองค์กรด้านความเป็นส่วนตัว ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยกล่าวหา Clearview ว่าทำการคัดลอกรูปภาพจากโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจละเมิดต่อเงื่อนไขการใช้งานของเว็บไซต์นั้นๆ
การเคลื่อนไหวของ Meta เกิดขึ้นหลังจากหลายปีในการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแล และผู้สนับสนุนด้านความเป็นส่วนตัว ซึ่งกล่าวว่าบริษัทมีความประมาทในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ นอกจากนั้น Meta ได้มีชื่อเสียงที่ไม่ดีในฐานะบริษัทที่ไม่ให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลผู้ใช้อย่างจริงจัง
โดยภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนี้ถูกเน้นให้ชัดขึ้นไปอีก จากการเสียค่าปรับเป็นจำนวน 5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.6 แสนล้านบาท ฐานละเมิดข้อตกลงด้านความเป็นส่วนตัว กับคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐของสหรัฐอเมริกาในปี 2019 นอกจากนั้นผู้บริหารของบริษัทมักจะถูกเรียกเข้าพบต่อหน้าฝ่ายนิติบัญญัติอยู่บ่อยๆ เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจและการรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้
ซึ่งในขณะนี้ Meta กำลังพยายามสร้างแพลตฟอร์มโลกเสมือน อันเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Metaverse เพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จ Meta จะต้องสร้างความมั่นใจให้กับทั้งหน่วยงานกำกับดูแล บริษัทพาร์ตเนอร์ในอุตสาหกรรม และผู้ใช้เอง ซึ่งการละทิ้งเทคโนโลยีจดจำใบหน้านี้ อาจเป็นก้าวแรกไปสู่การโน้มน้าวให้นักวิจารณ์ เชื่อว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวอย่างจริงจังมากขึ้น
แต่ก็ยังกล่าวว่าจะยังคงพิจารณาการใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ในกรณีที่ผู้คนจำเป็นต้องยืนยันตัวตน หรือเพื่อป้องกันการฉ้อโกงและการแอบอ้างโดยบุคคลอื่น แต่ Meta จะยังคงเปิดเผยต่อสาธารณะเกี่ยวกับการใช้งานระบบจดใบหน้าในอนาคต รวมถึงจะทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมระบบเหล่านี้ และข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาได้
กระนั้น Meta ก็ได้กล่าวถึงผลเสียในการยกเลิกระบบจดจำใบหน้านี้เช่นกัน คือ Facebook จะไม่สามารถระบุตัวบุคคลเพื่ออ่านออกเสียงโดยการใช้โค้ด Alt Text เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางสายตา ฟังคำอธิบายของรูปภาพหรือวิดีโอบนแพลตฟอร์มได้
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-02/facebook-to-shut-down-use-of-facial-recognition-technology
- https://www.cnbc.com/2021/11/02/facebook-will-shut-down-program-that-automatically-recognizes-people-in-photos-and-videos-delete-data.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP