จาก 18 นัดในพรีเมียร์ลีก พวกเขาชนะถึง 17 นัด และล่าสุดเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ชัยชนะเหนือท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ทำให้ ‘เรือใบสีฟ้า’ ภายใต้การนำของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เก็บชัยชนะติดต่อกันเป็นเกมที่ 16 มากกว่าสถิติสูงสุดตลอดกาลที่อาร์เซนอลเคยทำได้ 14 เกมในพรีเมียร์ลีกอังกฤษปี 2002
ผลงานดังกล่าวยังไม่สามารถที่จะเรียกว่าเป็น ‘ความสำเร็จ’ ในเชิงรูปธรรมได้ครับ เพราะเส้นทางยังผ่านมาไม่ถึงครึ่งฤดูกาลดี เป๊ป และทีมของเขายังต้องผ่านการทดสอบอีกมาก
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะชื่นชมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของผู้จัดการทีมที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของโลกฟุตบอลในยุคปัจจุบันไม่ได้
ผลงานดังกล่าวยังไม่สามารถที่จะเรียกว่าเป็น ‘ความสำเร็จ’ ในเชิงรูปธรรมได้ครับ เพราะเส้นทางยังผ่านมาไม่ถึงครึ่งฤดูกาลดี เป๊ป และทีมของเขายังต้องผ่านการทดสอบอีกมาก
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะชื่นชมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของผู้จัดการทีมที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของโลกฟุตบอลในยุคปัจจุบันไม่ได้
จากที่เคยถูกค่อนแคะกับความล้มเหลวในฤดูกาลแรกที่อังกฤษ จนถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวปลอม’
มาถึงในฤดูกาลนี้ เป๊ป แสดงให้พวกเราได้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาคือ ‘ตัวจริง’ ที่โลกต้องคารวะ
แค่เพียงฤดูกาลเดียว แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เป็นทีมที่ดุดันในเกมรุกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ และยังมีเกมรับที่แข็งแกร่งวางใจได้ ซ้ำร้ายยังเขี้ยวลากดิน (เหมือนที่สั่งลูกทีมปิดเกม ในช่วง 10 นาทีสุดท้ายที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ชนิดที่ มูรินโญ ได้แต่เซ็ง เพราะปกติแล้วเป็นสิ่งที่เขาชอบทำกับทีมอื่น)
ฟอร์มระดับนี้ของซิตี้ ทำให้อดคิดถึง บาร์เซโลนา ในยุคที่ดีที่สุดที่เขาคุมทีมอยู่เมื่อ 10 ปีที่แล้วไม่ได้ ทั้งๆ ที่ในฤดูกาลนี้ เป๊ป ไม่ได้ซื้อซูเปอร์สตาร์ระดับแพลทินัมค่าตัวหลักร้อยล้านมาเสริมทีมแต่อย่างใด
สงสัยกันไหมครับว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนแปลงทีมได้มากขนาดนี้?
ลองมาหาคำตอบร่วมกันดูครับ ผมคิดว่าเมื่ออ่านจบเราน่าจะเข้าใจเขาได้มากขึ้น 🙂
ใส่ใจเพื่อแลกใจ
ความจริงสโมสรในระดับ Elite อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งอุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์ล้นฟ้าคว้าดาว ปัญหาที่เกิดขึ้นได้มากคือเรื่องความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างผู้เล่นในทีม
นั่นเพราะเมื่อทีมเต็มไปด้วยนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ ปัญหาเรื่อง ‘อีโก้’ เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกพ้นได้ ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเก่ง ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองแน่
เบาๆ ก็อาจจะมีคนไม่ชอบหน้า แต่ถ้าหนักข้อเข้าก็แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า และทำให้ยากต่อการบริหาร และที่ยากที่สุดคือการที่นักฟุตบอลในทีมจะเขม่นกับผู้จัดการทีม เพราะมองว่าบางคนบารมีไม่ถึงที่จะมาดูแลสั่งสอนพวกเขา
แต่สำหรับ เป๊ป เขาจัดการเรื่องนี้ที่ แมนฯ ซิตี้ ได้เป็นอย่างดีครับ อาจจะดีกว่าสมัยที่อยู่กับ บาร์เซโลนา และ บาเยิร์น มิวนิก ด้วยซ้ำไป
สิ่งที่ เป๊ป ทำไม่มีอะไรยากครับ
เขาแค่เริ่มจากการจำ ‘ชื่อเล่น’ ของลูกทีมให้ได้ครบทุกคน โดยที่ เป๊ป ไม่ได้มาเริ่มตอนย้ายมาที่แมนเชสเตอร์ แต่เขาเริ่มตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ อย่างเป็นทางการ
การจำชื่อเล่นของลูกทีมให้ได้ทุกคน เป็นการเปิดประตูหัวใจบานแรกของลูกทีม ว่าอย่างน้อยเรารู้จักกัน ผมรู้จักคุณ คุณรู้จักผม เราสามารถพูดคุยกันได้โดยไม่มี ‘กำแพง’ ระหว่างใจต่อใจ
แม้กระทั่งนักเตะที่เคยบาดหมางหัวใจกันมาก่อนตั้งแต่สมัยร่วมงานกันในทีมบาร์เซโลนา อย่าง ยาย่า ตูเร ที่มีความคิดจะย้ายหนีก็เปิดใจและยอมรับเจ้านายคนเก่าในทีมใหม่อีกครั้ง และกลายเป็นหนึ่งในกำลังหนุนที่สำคัญของทีมที่พร้อมจะลงมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ในยามจำเป็นเสมอ
เป๊ป ยังหาเวลาให้ลูกทีมทุกคนอย่างเท่าเทียม เขาแทบไม่เคยพลาดการทานอาหารมื้อเช้าและเที่ยงที่โรงอาหารของสโมสร และบางครั้งยังพานักเตะไปเลี้ยงด้วย
เมื่อต่างเชื่อใจกัน ทุกคนก็พร้อมที่จะรับฟังและทำตามสิ่งที่เขาร้องขอ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากครับ เพราะหากเป็นคอบอลย่อมรู้ดีว่าฟุตบอลในฉบับของเป๊ป นั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดการเล่นมากมายที่ยากจะทำความเข้าใจได้โดยง่าย
จะเห็นได้ว่าฤดูกาลที่แล้วนักเตะยังไม่สามารถเล่นฟุตบอลในแบบฉบับที่เขาต้องการได้ทั้งหมด แต่มาถึงในฤดูกาลนี้เมื่อทุกคนเชื่อใจและเข้าใจ
แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นทีมที่ลงตัวชนิดที่แทบไร้รอยต่อ
ทุกอย่างเกิดขึ้นจากสิ่งง่ายๆ ที่เรียกว่าการ ‘ใส่ใจ’
ไม่มีอะไรมากหรือยากไปกว่านั้น
พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด
ถ้าอ่านด้านบนแล้วจะคิดว่า เป๊ป เป็นผู้ชายอ่อนโยนนุ่มนิ่ม อนุญาตให้ทำความเข้าใจใหม่ได้ครับ
เพราะหากเคยได้เห็นภาพเวลาที่เขาคุมทีมข้างสนาม จะได้เห็นรีแอ็กชันที่ดุเดือด เฮเป็นเฮ โหดเป็นโหด โวยเป็นโวย
แพสชันที่มีต่อเกมฟุตบอลของเขาสูงมากไม่แพ้ใครในโลกครับ และเขาไม่ได้จริงจังออกแอ็กชันแค่เกมแข่งขันจริงเท่านั้น
เพราะในการซ้อม เป๊ป จริงจังยิ่งกว่า และสำหรับลูกทีมของเขาแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่รับมือได้ง่ายนัก
อย่างที่บอกข้างต้นครับว่าฟุตบอลของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ขึ้นชื่อมากในเรื่องของรายละเอียดยิบย่อยยุ่บยั่บ เพื่อที่จะทำให้ทีมของเขาเล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด ดังนั้นเราจึงได้เห็น ‘นวัตกรรมลูกหนัง’ ใหม่ๆ จากกุนซือรายนี้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Tiki-Taka (ที่สืบทอดปรัชญาจาก โยฮันน์ ครัฟฟ์ ครูของเขา), False Nine ที่เปลี่ยน ลิโอเนล เมสซี ให้กลายเป็นเครื่องจักรถล่มประตู, Inverted-Full Back ที่สลับให้แบ็กอย่าง ฟิลิปป์ ลาห์ม มายืนตรงกลางสนาม
เพื่อให้ลูกทีมเล่นได้ดังใจ เป๊ป จำเป็นต้องเก็บทุกรายละเอียดในระหว่างการซ้อมให้ได้มากที่สุด และนั่นหมายถึงการที่เขาต้องจับตาทุกคนอย่างใกล้ชิด หากมีใครที่เล่นผิดไปจากที่คิดเขาจะต้องถ่ายทอดทุกอย่างใหม่เพื่อให้เข้าใจตรงกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่เป๊ปยึดมั่นคือ ในการซ้อมนั้นถึงจะจริงจังแค่ไหนก็ต้องสนุก
เพราะถ้าซ้อมไม่สนุก ไปแข่งจริงมันจะเล่นกันออกได้อย่างไร
นอกจากการซ้อมในสนาม เป๊ปยังทำการบ้านเพิ่มด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลทุกอย่างอย่างละเอียดยิบ ในทุกสัปดาห์จะมีการเรียกประชุมแท็กติกกัน โดยจะมีการฉายภาพขึ้นจอขนาดใหญ่ และเป๊ปจะพูดอธิบายสิ่งที่เขาต้องการเห็นจากลูกทีมทุกคน โดยจะลงรายละเอียดมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เพราะใส่ใจรายละเอียด ทำให้ฟุตบอลของแมนฯ ซิตี้ ยากที่จะหยุดหรือแม้แต่เดาทางได้
ในเกม ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้’ ที่หลายคนคิดว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ของ โจเช มูรินโญ มีโอกาสชนะหลัง ซิตี้ พลาดแพ้ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (ซึ่งเป็นการแพ้นัดแรกในฤดูกาล) แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาลงสนามจริง แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถที่จะต่อกรกับคู่ปรับร่วมเมืองได้
ส่วนหนึ่งเกิดจากกลยุทธ์ของเป๊ป ที่ปรับ 3 ประสานในแนวรุกใหม่ โดยสลับตำแหน่ง กาเบรียล เฆซุส ไปยืนทางซ้าย โยก เลรอย ซาเน มายืนทางขวา และทีเด็ดคือ ราฮีม สเตอร์ลิง ในบท False Nine แบบเดียวกับที่ เมสซี เล่นในทีม บาร์เซโลนา
สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้านักเตะในทีมไม่เข้าใจในสิ่งที่เป๊ปต้องการ และมันเกิดจากการฝึกซ้อมหนักแบบลงรายละเอียดลึกซึ้งจริงๆ
นอกจากเรื่องเหล่านี้ยังมีสิ่งละอันพันละน้อยที่เป๊ปพยายามเก็บทุกรายละเอียดครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน โดยเป๊ปให้จัดหาเชฟ (ในความหมายของ เชฟ จริงๆ) ชาวอังกฤษ, ฝรั่งเศส และ สเปน เข้ามาตระเตรียมอาหารให้ลูกทีม
หนึ่งในนั้นคือนักโภชนาการ ซิลเวีย เตรโมเลดา ที่เคยช่วยชีวิตการเล่นฟุตบอลของ ลิโอเนล เมสซี ซึ่งเคยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรังจนกลับมามีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์
เป๊ป ยังใส่ใจเรื่องสุขภาพของลูกทีมด้วยการเพิ่มจำนวนทีมแพทย์และนักกายภาพรวมกันมากกว่า 10 คนในปัจจุบัน และให้มีการตรวจร่างกายของลูกทีมอย่างละเอียดตลอดเวลา โดยเฉพาะการตรวจเลือดที่จะแสดงให้เห็นถึงสภาพร่างกายของลูกทีมในเวลานั้นว่าสมบูรณ์พร้อมที่จะลงสนามหรือไม่
ส่วนหนึ่งวันหลังการแข่งทุกคนจะต้องเข้า ‘ห้องเย็น’ หรือ Cryotherapy ห้องที่ใช้สำหรับการบำบัดด้วยความเย็น ลดอาการบาดเจ็บและทำให้สภาพร่างกายของนักฟุตบอลฟื้นตัวรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของความสำเร็จของเป๊ป เท่าที่มีการเปิดเผยกันครับ ซึ่งเชื่อได้ว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้อีกมาก
แต่โดยหลักการแล้วผมคิดว่ามันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต
มีแพสชันในสิ่งที่ทำ ใส่ใจให้มาก คิดถึงคนอื่นให้เยอะๆ
ถ้าทำได้ไม่มีคำว่าล้มเหลวแน่นอนครับ 🙂
Photo: AFP
อ้างอิง:
- www.mirror.co.uk/sport/football/news/inside-story-how-pep-guardiola-11536063
- www.youtube.com/watch?v=FFtnUq9h5OQ
- www.dailymail.co.uk/sport/football/article-5166489/How-Pep-Guardiola-outsmarted-Mourinho-Citys-2-1-win.html
- www.dailymail.co.uk/sport/football/article-5163689/Guardiola-missed-United-Fergie.html
- hwww.si.com/soccer/2017/10/19/manchester-city-pep-guardiola-attack-de-bruyne-gabriel-jesus
- หนึ่งในสุดยอดเรื่องเล่าของเป๊ป คือวันที่เขาคิดแผน False Nine ได้นั้นเกิดขึ้นในคืนหนึ่งก่อนเกม เอล กลาซิโก้ ทันทีที่เขาคิดออก ก็รีบโทรไปหา ลิโอเนล เมสซี ก่อนจะขับรถไปนั่งเล่าแผนใหม่นี้ให้ฟัง โดยไม่ปริปากบอกคนอื่นแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งนักเตะระดับซีเนียร์ของทีมอย่าง ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสต้า ทุกคนมารู้ก่อนเกมทั้งสิ้น
- เป๊ป ชอบให้ทีมเยาวชนมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ โดยทั้งสองชุดจะเล่นในแนวทางเดียวกัน ซึ่งเป็นผลดีในระยะยาว เพราะนักเตะรุ่นใหม่จะเข้าใจในระบบทีม และเมื่อดีพอก็พร้อมถูกดันขึ้นชุดใหญ่ได้โดยไม่เคอะเขิน
- เป๊ป เคยถูก เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทาบทามให้มารับช่วงต่อในทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเขาเพิ่งยอมรับว่าเขาอาจจะพลาดงานนี้ไปเพราะฟังภาษาอังกฤษของเฟอร์กี้ไม่เข้าใจ…
- เทียร์รี อองรี ชื่นชมทีมของ เป๊ป ว่า ‘ถ้าคุณไม่ชอบวิธีการเล่นของซิตี้ นั่นแปลว่าคุณไม่ได้ชอบเกมฟุตบอล ทีมชุดนี้เป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก’