×

กระแส #ประยุทธ์ แรงไม่ตก ขึ้นเทรนด์ต่อเนื่องทะลุล้าน หลังนายกฯ ประกาศเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายนนี้

โดย THE STANDARD TEAM
12.10.2021
  • LOADING...
ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เมื่อวานนี้ (11 ตุลาคม) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าจะมีมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากประเทศความเสี่ยงต่ำและฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป เป้าหมายสำคัญคือการดึงนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลหยุดสิ้นปีในสามเดือนข้างหน้า เพื่อสนับสนุนการทำมาหากินของประชาชนนับล้านคนในภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจและบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องอีกมาก และว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่รับมือกับโควิดได้ดีที่สุด

 

ภายหลังจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ออกแถลงการณ์ดังกล่าว ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากในโลกโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะใน Twitter ที่แฮชแท็ก #ประยุทธ์ ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ของประเทศไทยต่อเนื่องจนถึงวันนี้ (12 ตุลาคม) และมีผู้ทวีตข้อความผ่านแฮชแท็กดังกล่าวมากกว่า 1 ล้านครั้ง โดยส่วนใหญ่ตั้งคำถามถึงความพร้อมของรัฐบาลที่จะรับมือกับการท่องเที่ยวและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด เนื่องจากยังมีประชาชนอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือฉีดเฉพาะวัคซีน Sinovac ที่ไม่สามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้ 

 

ทั้งยังมีการยกสถิติการฉีดวัคซีนของไทยจากศูนย์ข้อมูล COVID-19 ว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสมีเพียง 33% และเป็นวัคซีนที่ไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ หลายคนจึงตั้งคำถามกับความเสี่ยงที่จะเกิดภายหลังจากมีการเปิดประเทศในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ 

 

นอกจากนี้ หลายคนยังยกตัวอย่างผลสำรวจการจัดอันดับประเทศที่ฟื้นตัวจากโควิดได้ดีที่สุดโดย Nikkei ซึ่งชี้ว่าประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 109 จากทั้งหมด 121 ประเทศทั่วโลก ดังนั้น สิ่งที่ พล.อ. ประยุทธ์พูดว่าไทยรับมือกับโควิดได้ดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่งนั้นจึงไม่เป็นความจริง

 

นอกจากนี้ หลายคนยังตั้งคำถามถึงการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าจะยังคงใช้ต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะหากมีมาตรการจะเปิดสถานบันเทิงและภาคธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจ  

 

ขณะที่กลุ่มผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษาจำนวนมาก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเลือกจะเปิดประเทศก่อนเปิดสถานศึกษา เพราะในเวลานี้เยาวชนหลายคนได้รับผลกระทบจากการเรียนออนไลน์อย่างมาก ไม่ว่าจะในเชิงสุขภาพกายและสุขภาพใจ และยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ร้องเรียนว่าเหตุใดจึงยังไม่ยอมสั่งวัคซีน mRNA เข้ามา หรืออนุมัติให้โรงพยาบาลเอกชนนำวัคซีน mRNA ที่ประชาชนสั่งจองมาแล้วหลายเดือนเข้ามาฉีดเสียที เพราะหากประชาชนได้ฉีดวัคซีนที่สามารถป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ ก็น่าจะมีความมั่นใจในการรับมือกับแผนการเปิดประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ดี มีคนที่ยินดีต่อนโยบายการเปิดประเทศเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่ากลัวอดตายมากกว่ากลัวเชื้อโรค

 

ด้านนักการเมืองก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายนี้ของ พล.อ. ประยุทธ์ เช่น ปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม ที่ทวีตว่า “นายกฯ ที่มีวิสัยทัศน์ต้องรู้จักคิด เปิดโรงเรียน มหาวิทยาลัยก่อนเปิดร้านเหล้า สถานบันเทิง หรือนายกฯ คิดปิดสถานศึกษาให้นานที่สุด กดคนรุ่นใหม่ให้โง่ จะได้ปกครองง่ายๆ ครับ? ถ้าคิดเช่นนี้ก็ไม่ #เป็นธรรม กับคนรุ่นใหม่เลย” 

 

ด้าน นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ระบุว่า ส่วนตัวแล้วสนับสนุนให้มีการเปิดประเทศ แต่ต้องอยู่บนความพร้อม และสถานการณ์การแพร่ระบาดต้องนิ่งแล้ว ไม่ใช่ประกาศเปิดประเทศเพียงเพราะความกดดันทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือต้องการพูดเพื่อแก้ไขความตกต่ำทางการเมืองของรัฐบาล ตนมองว่าสิ่งที่ พล.อ. ประยุทธ์ทำนั้น ก็เพื่อต้องการรักษาภาพและความเชื่อถือของรัฐบาล หลังเคยประกาศเปิดประเทศภายใน 120 วันไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

 

“ผมเคยถามถึงแผนการเปิดประเทศในสภา และอีกหลายครั้งผ่านสื่อต่างๆ แต่รัฐบาลไม่เคยมีคำตอบให้ ดังนั้น เชื่อว่าการเปิดประเทศที่บอกไว้ก่อนนั้นไม่มีแผนรองรับ ส่วนที่บอกจะเปิดประเทศอีกครั้ง ขณะที่สถานการณ์ระบาดยังไม่นิ่งพอที่จะเปิดประเทศ ส่วนวัคซีนที่บอกตัวเลข แต่เป็นตัวเลขในอากาศ ไม่มีอยู่ในมือจริงๆ เป็นแค่คำโฆษณาเท่านั้น ทั้งนี้ คนไทยอยากรู้ว่าวัคซีนที่มีอยู่จริงเท่าไร และจะปักบนแขนประชาชนได้กี่คน และเร็วที่สุดได้เมื่อไร ทั้งนี้ยังพบว่าตัวเลขคนที่นอนรักษาตัวที่มีถึง 80% คือ คนมีโรคกลุ่มเสี่ยง คนสูงอายุ หญิงมีครรภ์ ดังนั้น หากจะจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพ ควรให้กลุ่มดังกล่าวสูงที่สุดก่อน” นพ.เรวัตกล่าว

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X