วันนี้ (19 กันยายน) สืบเนื่องจากเป็นวันครบรอบ 15 ปี รัฐประหาร 2549 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ พรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
รำลึก 19 กันยา ถอดบทเรียน 3 รัฐประหาร: จากพฤษภาทมิฬ ถึง ม็อบราษฎร
ในชีวิตการเมืองของดิฉันกว่า 29 ปี ได้ผ่านรัฐประหารมา 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2534 โดยดิฉันได้ร่วมในขบวนการต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ พล.อ. สุจินดา ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ตั้งแต่วันแรก
จนมาถึงการรัฐประหารปี 2549 ซึ่งขณะนั้นดิฉันเป็นรัฐมนตรีเกษตร กำลังทำหน้าที่นำสินค้าเกษตรและอาหารไทยไปขายที่ยุโรป ในวันปฏิวัติ ดิฉันกำลังประชุมกับรัฐมนตรีพาณิชย์ของฝรั่งเศสอยู่ หลังจากทราบข่าวการทำรัฐประหาร ดิฉันได้รับมอบหมายให้ประสานงานฝ่ายความมั่นคงของฝั่งเราที่กรุงเทพฯ เพื่อต้านการรัฐประหาร โดยที่ดิฉันไม่รู้เลยว่าคนที่ดิฉันประสานงานเขาได้ย้ายไปอยู่ฝั่งผู้ทำรัฐประหารไปแล้ว
ผลคือหลังจากนั้นชั่วโมงเดียว ทหารกว่า 20 นายพร้อมปืน M16 เข้าไปยึดบ้าน จับคนในบ้านของดิฉัน ดิฉันต้องติดอยู่ต่างประเทศกว่า 3 สัปดาห์ถึงกลับประเทศไทยได้
และครั้งสุดท้ายคือปี 2557 ซึ่งขณะนั้นดิฉันพักการทำงานการเมืองเพื่อไปทำงานบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ก็ไม่พ้นถูกทหารนำรถหุ้มเกราะมาล้อมบ้านอีก
ดิฉันอยากจะสรุปบทเรียนของ 3 รัฐประหาร จากพฤษภาทมิฬถึงม็อบราษฎรว่า ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2535-2564 เป็นเวลา 29 ปี กงล้อประชาธิปไตยไทยตกหล่มอยู่กับที่ ประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันถอยหลังไปกว่า 40 ปี สิทธิพลเมืองถูกด้อยค่า ประเทศตกต่ำ ล้าหลัง แต่เผด็จการพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นโดยผ่านรัฐธรรมนูญปี 2560
เผด็จการสร้างกลไกในการสืบทอดอำนาจของตัวเองอย่างมั่นคง และวางแผนที่จะปกครองประเทศนี้อีกยาวนานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่เขียนควบคุมการบริหารประเทศไว้ทุกด้าน วางกับดักไว้เอาผิดรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากฝั่งเผด็จการจนไม่สามารถทำงานได้ รวมทั้งยังต้องฝ่าด่าน ส.ว. 250 คน และองค์กรอิสระต่างๆ ที่ฝ่ายเผด็จการควบคุมได้ทั้งหมด
การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เพิ่งผ่านสภาไปเมื่อไม่กี่วันนี้ก็แก้เพียงระบบเลือกตั้ง ซึ่งไม่สามารถทำให้ฝั่งประชาธิปไตยชนะได้อย่างแท้จริง เพราะถึงแม้ว่าพรรคฝั่งประชาธิปไตยจะชนะเลือกตั้ง แต่ก็ต้องฝ่าด่านแรกว่าจะชนะ ส.ว. 250 คนได้ไหม
และถ้าชนะ ส.ว. 250 คนได้จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่จะไม่สามารถบริหารงานภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ รัฐบาลฝั่งประชาธิปไตยอาจจะถูกคว่ำได้อย่างง่ายดายภายในเวลา 3-6 เดือน และ ‘นายกฯ’ จากฝั่งประชาธิปไตย ก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกลไกที่ฝ่ายเผด็จการวางเอาไว้อย่างที่ผ่านมา
“โดยการล้มรัฐบาลฝั่งประชาธิปไตยในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องลากรถถังออกมาทำรัฐประหารอีกต่อไป เพราะเผด็จการได้ฝังกลไกการล้มรัฐบาลที่ไม่ใช่พวกตนเองไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ไว้อย่างเบ็ดเสร็จ”
ดังนั้นทางออกจากระบอบเผด็จการครองประเทศอย่างถาวร คือการต้องผลักดันให้สร้างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้สำเร็จด้วยการเรียกร้องให้เร่งทำประชามติโดยเร็วที่สุด
อ้างอิง: