ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ แถลงผ่านโทรทัศน์วานนี้ (9 กันยายน) โดยประกาศมาตรการใหม่เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด ซึ่งรวมถึงการเตรียมบังคับให้พนักงานของบริษัทใหญ่ ตลอดจนพนักงานภาครัฐและบุคลากรทางการแพทย์ในสถานพยาบาล ต้องฉีดวัคซีนหรือตรวจเชื้อทุกสัปดาห์
มาตรการใหม่ดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ไบเดนเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดที่รุนแรงขึ้น ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา สูงกว่าวันละ 150,000 คน ซึ่งไบเดนกล่าวโจมตีว่าเป็นผลกระทบจากกลุ่มประชาชนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนกว่า 80 ล้านคน ขณะที่กว่า 97% ของผู้ติดเชื้อที่อาการหนักจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล คือกลุ่มผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
“เราอดทนมามากแล้ว แต่ความอดทนของเรากำลังลดน้อยลง และการปฏิเสธฉีดวัคซีนของพวกคุณทำให้พวกเราทุกคนต้องสูญเสีย” ไบเดนกล่าวในการแถลงจากทำเนียบขาว
ทั้งนี้ ไบเดนได้ใช้อำนาจเต็มในฐานะประธานาธิบดี สั่งการตรงไปที่กระทรวงแรงงาน เพื่อแจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจที่มีลูกจ้างเกิน 100 คน ต้องบังคับให้พนักงานทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีนหรือตรวจเชื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และมีผลตรวจเป็นลบก่อนที่จะเข้าทำงาน โดยหากบริษัทเอกชนรายใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง จะมีโทษปรับสูงเกือบ 14,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 457,000 บาท
ขณะเดียวกันยังบังคับฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลและพนักงานของสถาบันช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ผู้ยากไร้ ผู้พิการและผู้สูงอายุ รวมกว่า 17 ล้านคนด้วย
การประกาศมาตรการบังคับฉีดวัคซีนของไบเดนมีขึ้นภายหลังการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและทนายความ ซึ่งคาดว่าผลกระทบของมาตรการนี้ จะครอบคลุมแรงงานชาวอเมริกันเกือบ 2 ใน 3 หรือราว 100 ล้านคน
ซึ่งนอกจากนี้ ไบเดนยังประกาศมาตรการเข้มงวดอื่นๆ เพื่อรับมือสถานการณ์แพร่ระบาด ได้แก่
- เพิ่มค่าปรับเป็น 2 เท่า สำหรับผู้โดยสารเครื่องบินที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย
- ใช้ พ.ร.บ.การผลิตกลาโหม เพื่อเร่งผลิตชุดตรวจเชื้อแบบรวดเร็วให้มากขึ้น
- เร่งจัดส่งบุคลากรทางการแพทย์ไปช่วยเหลือในพื้นที่ซึ่งเผชิญการระบาดรุนแรง
- เพิ่มความเร็วในการจัดส่ง ‘โมโนโคลนอล แอนติบอดี (Monoclonal Antibody)’ หรือแอนติบอดีที่สร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาว สำหรับใช้รักษาผู้ป่วยโควิด โดยจัดส่งไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ทุกสัปดาห์
ภาพ: Kent Nishimura / Los Angeles Times via Getty Images
อ้างอิง: