วันนี้ (3 กันยายน) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) จัดรายการพูดคุยผ่านช่องทางออนไลน์ ถึงการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยรับมือกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพื่อมองหาและสร้างโอกาสให้กับประเทศผ่านการแลกเปลี่ยนมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ตรง ในรายการ Future Talk by NXPO ครั้งที่ 4 พูดคุยในประเด็นความก้าวหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิดของบริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติไทยด้วยกลไกการบ่มเพาะจากสถาบันอุดมศึกษา โดยมี ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Co-founder และ CEO บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด และ รศ.ดร.วรัญญู พูลเจริญ Co-founder และ Chief Technology Officer (CTO) บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด
รศ.ดร.วรัญญูกล่าวถึงแนวทางการผลิตวัคซีนของบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม ด้วยการใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ จากการผลิตเฉพาะโปรตีน หรือชิ้นส่วนของไวรัสที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ ที่เรียกว่าซับยูนิตวัคซีนหรือโปรตีนวัคซีน โดยทางบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม ใช้พืชทั้งต้นจากต้นยาสูบพันธุ์ที่มีปริมาณนิโคตินต่ำในการผลิต ด้วยการปลูกพืชขึ้นมา และส่งถ่ายยีนส์เฉพาะชิ้นส่วนที่สามารถนำไปเป็นโปรตีนของไวรัสที่ต้องการได้
รศ.ดร.วรัญญูกล่าวด้วยว่า จุดเริ่มต้นของการตั้งบริษัทเกิดจากการที่เรียนจบด้านวิทยาศาสตร์ และได้มาเป็นอาจารย์ที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ เริ่มมองเห็นว่าเด็กที่จบในสายนี้ไปไม่มีใครทำงานในด้านการพัฒนายา จึงคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดีหากสามารถเริ่มพัฒนาวัคซีนหรือยาใหม่ๆ ได้เองในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำ เช่นเดียวกับ ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา ที่เรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข เกี่ยวกับนโยบายประกันสุขภาพและการเข้าถึงยา ทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงยาที่มีราคาแพงได้ ดังนั้น หากสามารถผลิตยาได้เองก็น่าจะเป็นการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้ประเทศ ทำให้ประเทศมีเงินเยอะขึ้น และทำให้คนไทยเข้าถึงยาได้มากขึ้น
ด้าน ผศ.ภญ.ดร.สุธีรากล่าวว่า ความจริงแล้วประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผลิตวัคซีนได้เมื่อหลายสิบปีก่อน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีค่อนข้างสูงในเวลาต่อมา ทำให้มีระยะหนึ่งที่เราอาจจะตามประเทศอื่นไม่ทัน แต่โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในประเทศไทยยังคงมีอยู่ และยังมีศักยภาพจากการลงทุนในการวิจัยและการพัฒนาที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานในประเทศ
“บริษัทก็ได้ใช้โครงสร้างพื้นฐานเหล่านั้นในการช่วยพัฒนาวัคซีน และเตรียมพร้อมรับการระบาดในครั้งถัดไป โดยวัคซีนโควิดที่ผลิตขึ้นกำลังจะนำเข้าทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ในช่วงสิ้นเดือนกันยายนนี้ ซึ่งในปัจจุบันเรามีโรงงานผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุด้วยพืชที่ได้มาตรฐานแล้วที่จะใช้ผลิตสำหรับมนุษย์เป็นแห่งแรกในเอเชีย ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเตรียมวัคซีนรุ่นที่ 2 ที่มีการปรับสูตร ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น ซึ่งต้องรอดูผลการศึกษาในระยะที่ 1 เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงต่อไป โดยคาดหวังว่าประมาณไตรมาส 3/65 จะมีวัคซีนฉีดให้คนไทยได้ ซึ่งถือว่าเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมยาและวิทยาศาสตร์ของไทย” ผศ.ภญ.ดร.สุธีรากล่าวในที่สุด
