×

‘กองทุน’ ย้ำชัด หุ้นไทยยังไม่ใช่ขาขึ้น เตือนระวังแรงขาย แนะคัดลงทุนรายตัว

30.08.2021
  • LOADING...
กองทุน

ตลาดหุ้นไทยกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ดูจะมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับ ‘Fed’ หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าแม้จะเริ่มต้นลดมาตรการ QE ในปีนี้ แต่จะยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (30 สิงหาคม) เพิ่มขึ้นกว่า 22.57 จุด มาปิดตลาดที่ระดับ 1,633.77 จุด หรือ 1.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่คึกคักกว่า 117,382 ล้านบาท

 

ทีมข่าว THE STANDARD WEALTH ชวนไปหาคำตอบว่าการเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้นไทยในรอบนี้เข้าสู่ภาวะขาขึ้นอย่างเต็มตัว หรือแค่รีบาวด์ช่วงสั้นๆ ผ่านมุมมองของผู้จัดการกองทุน เพราะในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เราจะเห็นนักลงทุนสถาบันเป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิหุ้นไทยสูงถึง 19,719 ล้านบาท 

 

สาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ บอกว่า การที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,600 จุด น่าจะมาจากการประกาศคลายล็อกดาวน์ ซึ่งถือเป็นข่าวดีในตลาด เข้ามาช่วยผลักดันหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์ 

 

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองดูปัจจัยพื้นฐานแล้ว หุ้นไทยน่าจะยังไม่ใช่ขาขึ้นที่ชัดเจนนัก เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไทยยังไม่ดี และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาทำให้หุ้นไทยซื้อขายกันอยู่ในระดับราคาที่แพงเกินไป 

 

ขณะที่ ธิดาศิริ ศรีสมิต CFA รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย ให้ความเห็นว่า เรายังคงคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้มีโอกาสที่ขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,650 จุด ได้ในช่วงปลายปี หากไม่มีการกลับมาระบาดของโควิดอีกครั้ง ภายหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และเริ่มมีการเปิดประเทศมากขึ้น 

 

“เรามองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปีหน้าแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยช่วงแรกจะรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก และตามมาด้วยภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศไทยอิงกับภาคการท่องเที่ยวค่อนข้างมากกว่า 18% ของ GDP ในช่วงก่อนการระบาดของโควิด โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็นสัดส่วน 12% ของ GDP หากมีการเปิดประเทศและมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา เศรษฐกิจน่าจะมีโอกาสฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน” 

 

อย่างไรก็ตาม ธิดาศิริคาดว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติยังจะไม่กลับมาเร็วนัก โดยเฉพาะครึ่งปีแรกของปี 2565 นักท่องเที่ยวจีนซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลจีนที่จะสนับสนุนการใช้จ่ายและท่องเที่ยวในประเทศมากกว่า และโดยรวมประเทศจีนได้ประโยชน์ค่อนข้างน้อยในการเปิดประเทศ ในขณะเดียวกัน ประเทศจีนก็มีขนาดใหญ่ หากเปิดประเทศเร็วไปอาจทำให้การควบคุมการระบาดของโควิดทำได้ยาก

 

สอดคล้องกับสาห์รัชที่เน้นย้ำเอาไว้ว่า ประเทศไทยต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก คิดเป็น 10% ของ GDP และคาดการณ์ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นปกติในระดับเกือบ 40 ล้านคนต่อปี คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 2 ปีขึ้นไป ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าที่จะฟื้นตัวในรูปแบบวีเชฟ โดยคาดว่า GDP ไทยคงไม่เติบโตแบบเร่งตัวมากนัก อยู่แค่ประมาณ 2-3% เท่านั้นในปีหน้า

 

สาห์รัชบอกด้วยว่า ถ้ามองหุ้นไทยปีนี้เทรดกันที่ระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่ 20 เท่า เทียบกับหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปซื้อขายอยู่ระดับเดียวกันแล้วต้องบอกว่า เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเป็นคนละตัวกันเลยกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยปีหน้าหุ้นไทยคงจะมีอัปไซด์ไม่มาก ดัชนีน่าจะอยู่ในกรอบ 1,650-1,700 จุด ซึ่งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปีหน้า ถ้ามองในแง่ดีจะอยู่ที่ 90 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้หุ้นไทยมี P/E อยู่ที่ 17-18 เท่า ทำให้โอกาสในการปรับตัวของหุ้นไทยมีไม่มากนักถ้าดูจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

 

ธิดาศิริให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า ดัชนีหุ้นไทยปีหน้าถามว่ามีโอกาสปรับเพิ่มไปถึง 1,800 จุด เหมือนที่เคยคาดการณ์กันไว้ก่อนจะมีการแพร่ระบาดของโควิดได้หรือไม่นั้น โดยส่วนตัวมองว่าปลายปีหน้าคงมีโอกาส แต่มีข้อแม้ว่าการระบาดของโควิดจะต้องคลี่คลายลงอย่างชัดเจน และเศรษฐกิจโดยรวมทั้งไทยและโลก รวมถึงภาคการท่องเที่ยวต้องฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง 

 

อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความรุนแรงที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมืองอาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

 

สาห์รัชบอกว่า การลงทุนในหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมา กองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับสูงนั้นมาจากกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นแบบรายตัว ซึ่งการลงทุนหุ้นไทยในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา ผู้จัดการกองทุนจำเป็นที่จะต้องแอ็กทีฟและวิเคราะห์หุ้นรายตัวแบบเจาะลึก เป็นผลให้หุ้นที่ลงทุนในพอร์ตอาจแตกต่างกันออกไปได้ในแต่ละเดือน

 

“ไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมที่แย่ บริษัทที่แข็งแรงธุรกิจก็พร้อมจะกลับมารันได้เหมือนเดิม ช่วงนี้ธีมเรื่องของกลุ่มที่มีผลประกอบการดี ต้องเลือกกลุ่มบริษัทที่ได้รับผลประโยชน์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจนอกประเทศด้วย เช่น กลุ่มพี่งพิงรายได้จากการส่งออก กลุ่มโลจิสติกส์ เป็นต้น แต่ไม่ใช่ว่ากลุ่มเดียวกันจะเหมือนกันอีก เพราะบางบริษัทไปต่อไม่ไหว ไม่สามารถกลับมาดำเนินการต่อได้ก็มีตรงนี้ บริษัทในกลุ่มเดียวกันแต่สายป่านยาวกว่าก็จะได้รับประโยชน์ไปแทน”

 

ขณะที่ธิดาศิริบอกว่า การลงทุนในหุ้นไทยเน้นเรื่อง Selective Play มากกว่าที่จะเป็น Sector Underweight หรือ Overweight เนื่องจากแนวโน้มการผลการดำเนินการของแต่ละบริษัทขึ้นกับปัจจัยเฉพาะตัวด้วย จะเห็นได้ว่าในปีนี้หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมก็มีผลตอบแทนและผลประกอบการที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก

 

สรุปแล้วหุ้นไทยแม้จะดูเชื่องช้าแต่ใช้ว่าจะขนาดเสน่ห์ไปทั้งหมด เพราะหุ้นไทยดีๆ ยังมีให้ลงทุนอยู่เช่นกัน เอาเป็นว่าหุ้นไทยกับหุ้นนอก 30/70 ถือว่าน่าสนใจทีเดียว

 

รายงานจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยตัวเลขผลตอบแทนกองทุนหุ้นไทย 5 อันดับแรกที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2563 (กองทุนหุ้นไทยชนิดไม่ปันผลและไม่รวมกองทุนประหยัดภาษี) ประกอบด้วย 

 

  1. กรุงศรีไดนามิคฟันด์ (KFDYNAMIC) มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 30.70%

 

  1. กองทุนเปิด ทิสโก้สแตรทิจิก (TSF-A) มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 27%

 

  1. กองทุนเปิดเค มินิมั่ม โวลาติลิตี้ หุ้นทุน (K-MVEQ) มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 23.98%

 

  1. กองทุนเปิด แอล เอช โกรท ชนิดสะสมมูลค่า (LHGROWTH-A) ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 23.65%

 

  1. กองทุนเปิดแอสเซทพลัสหุ้นไทย (ASP-THEQ) ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 20.60% 

 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising