×

นักลงทุนเริ่มโยกเงินกลับเข้าหุ้น ‘กลุ่มท่องเที่ยว’ หลังราคาร่วงแรง โบรกฯ แนะเลือกบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศสูง

10.08.2021
  • LOADING...
กลุ่มท่องเที่ยว

การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย (SET) ในช่วงต้นสัปดาห์นี้จาก 1,520 จุด มาปิดตลาดเมื่อวานนี้ (10 สิงหาคม) ที่ 1,540 จุด พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับขึ้นแรงสุดคือกลุ่มท่องเที่ยว (TOURISM) เพิ่มขึ้น 3.87% โดยหุ้นอย่าง ERW และ CENTEL เพิ่มขึ้น 7.5% และ 5.5% ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มขนส่ง (TRANS) เป็นกลุ่มที่เพิ่มขึ้นสูงสุดรองลงมา หนุนจากหุ้นใหญ่ในกลุ่มคือ AOT ที่เพิ่มขึ้น 4.48%

 

ณภัทร วรจรรยาวงศ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ มองว่า การฟื้นตัวของหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเป็นผลจากการที่นักลงทุนเริ่มสลับกลับไปหากลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับธีมเปิดประเทศ หลังจากที่ราคาหุ้นเหล่านี้ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงกลุ่มท่องเที่ยวด้วย

 

“ก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวแย่มาต่อเนื่องจนเริ่มถึงจุดที่ดาวน์ไซด์เริ่มจำกัด เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศเริ่มทรงตัวได้และตัวเลขผู้รักษาหายใหม่เริ่มสูงกว่าผู้ติดเชื้อใหม่ จึงเห็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงกลับเข้าไปหาหุ้นเหล่านี้” 

 

แต่สำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงมากนักอาจจะรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อน เพราะการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศยังไม่แน่นอนและไม่มีอะไรการันตีว่าสถานการณ์จะดีขึ้นได้แน่นอน

 

อย่างไรก็ดี หากจะเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวควรจะเน้นไปยังบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ เช่น MINT และ SHR

 

สำหรับ MINT มีรายได้ในส่วนของการท่องเที่ยวราว 70% จากยุโรป ซึ่งจะเห็นว่าหลายประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ อิตาลี และสเปน เริ่มทยอยเปิดประเทศตั้งแต่กลางไตรมาส 2 ขณะที่ SHR มีรายได้ราว 50% จากอังกฤษและมัลดีฟส์

 

ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวที่มีรายได้จากในไทยเป็นหลัก เช่น ERW, CENTEL และ SPA เหล่านี้ฟื้นตัวกลับมาได้แรงเพราะปรับฐานลงมาลึกก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ในประเทศสูง

 

“ส่วนตัวมองว่าหุ้นกลุ่มที่มีรายได้อิงกับต่างประเทศน่าสนใจกว่า ทั้งในแง่ดาวน์ไซด์ที่จำกัดและการฟื้นตัวของรายได้ ในขณะที่หุ้นการบินยังคงคล้ายกับกลุ่มสองที่มีรายได้อิงกับในประเทศ” 

 

ขณะที่ความกังวลในเรื่องของสภาพคล่อง ERW และ MINT เป็น 2 บริษัทที่ดูจะน่ากังวลที่สุด เพราะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในปีนี้น่าจะขยับไปถึง 4 เท่า และ 2.5 เท่า ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าเพดานหนี้ที่ตกลงกับธนาคาร แต่ในส่วนนี้ทั้งสองบริษัทได้ขอผ่อนผันไปจนถึงปีหน้าแล้ว 

 

“ในระยะสั้นเชื่อว่า ERW และ MINT จะสามารถบริหารจัดการให้ผ่านสถานการณ์ไปได้ แต่ในกรณีที่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นอาจจะเห็นบริษัทตัดสินใจขายสินทรัพย์บางส่วนออกมามากกว่าที่จะเพิ่มทุนอีกรอบในทันที”

 

ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2 ของหุ้นในกลุ่มอ่อนแอลงจากไตรมาสแรก แต่ดีขึ้นจากปีก่อนเนื่องจากฐานต่ำ ยกเว้น MINT ที่จะดีขึ้นจากไตรมาสแรก แรงหนุนจากอัตราการเข้าพักที่ดีขึ้นในตลาดยุโรป

 

คาดไตรมาส 3 ผลประกอบการของกลุ่มอ่อนแอลงจากไตรมาส 2 ทำให้ตลาดต้องปรับลดประมาณการของหุ้นในกลุ่มเพิ่มเติม แต่จะกระทบต่อมูลค่าที่อิงประมาณการปี 2565 เป็นหลัก

 

โดยรวมคงน้ำหนักการลงทุน ‘มากกว่าตลาด’ ราคาหุ้นในระยะสั้นจะอ่อนแอตามการติดเชื้อที่สูงขึ้น แต่ราคาหุ้นปรับตัวลงลึกกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นในระดับ 6 เดือน มูลค่าอยู่ในจุดที่น่าสนใจแล้ว การกลับเข้าลงทุนเน้นกลยุทธ์โรงแรมที่ไม่พึ่งพิงตลาดไทยที่อาจจะฉีดวัคซีนได้ช้ากว่าคาด มอง MINT และ SHR เด่นสุดในกลุ่ม

 

ขณะที่การระบาดที่ยังรุนแรงขึ้นกดดันผลประกอบการไตรมาส 2 และต่อเนื่องถึงไตรมาส 3 ให้อ่อนแอกว่าที่เราและตลาดคาด โดยเฉพาะหุ้นที่มีรายได้จากในประเทศไทยเป็นหลัก เช่น CENTEL และ ERW

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising