เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวานนี้ (5 สิงหาคม 2564) บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) รายงานกำไรสุทธิ 2Q64 ที่ 8.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 39%QoQ และ 5,333%YoY สูงสุดในรอบ 2 ปี และดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เพราะค่าใช้จ่าย SG&A ต่ำกว่าตลาดคาดและรายได้อื่นๆ สูงขึ้น
โดยกำไร 2Q64 ที่แข็งแกร่งมาจากปริมาณการขายและ Core EBITDA ต่อตันที่สูงขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนหลักจากธุรกิจ Combined PET (74% ของปริมาณการขายทั้งหมด) ที่ Core EBITDA ต่อตัน 2Q64 เพิ่มขึ้น 27%YoY และ 25%QoQ สะท้อนถึงความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานในตลาดตะวันตก
โดยมีสาเหตุมาจากข้อจำกัดด้านอุปทานเกี่ยวกับวัตถุดิบในการผลิต PTA และค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูงสำหรับการนำเข้าสินค้ามายังอเมริกาเหนือ รวมถึงส่วนต่างราคา Integrated PET ในตลาดตะวันตกสูงกว่าตลาดเอเชียอยู่ที่ 360 ดอลลาร์ต่อตันใน 2Q64 จาก 317 ดอลลาร์ต่อตันใน 1Q64 ขณะที่ Core EBIDTA ต่อตัน 2Q64 ของธุรกิจ IOD ก็ปรับตัวขึ้นมากกว่า 2 เท่าทั้ง YoY และ QoQ สู่ระดับ 192 ดอลลาร์ต่อตัน โดยมีสาเหตุมาจากการผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในสัดส่วนที่สูงขึ้น
ด้านปริมาณการขาย 2Q64 เติบโต 12%YoY แต่ลดลงเล็กน้อย 1%QoQ สู่ระดับ 3.61 ล้านตัน โดยส่วนใหญ่เกิดจากธุรกิจ Combined PET เนื่องจากได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากการขาดแคลนวัตถุดิบ ปริมาณการขายจากธุรกิจ IOD เพิ่มขึ้น 11%QoQ หลังจากโรงงานในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบใน 1Q64 จากเหตุการณ์ Polar Vortex ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ขณะที่ปริมาณการขายของธุรกิจเส้นใยลดลง 11%QoQ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์อีกรอบ ทำให้การผลิตสินค้าในกลุ่มไลฟ์สไตล์ลดลง แต่ยังฟื้นตัว 48%YoY จากฐานต่ำใน 2Q63
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (6 สิงหาคม 2564) ราคาหุ้น IVL ปรับตัวลง 2.48%DoD สู่ระดับ 39.25 บาท โดยถูกปัจจัยลบกดดันจาก Sentiment ลบของตลาดหุ้นไทย โดย SET Index ปรับตัวลง 6.88 จุด หรือลดลง 0.45%DoD สู่ระดับ 1,520.78 จุด (ข้อมูล ณ เวลา 12.30 น.)
มุมมองระยะสั้น:
ผู้บริหาร IVL ระบุว่าแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะยังคงแข็งแกร่งใน 2H64 เมื่อพิจารณาจากความต้องการบรรจุภัณฑ์ PET จำนวนมาก ซึ่งสอดคล้องกับทิศทาง GDP โลก โดยผลกระทบที่ IVL ได้รับจากการล็อกดาวน์รอบใหม่จะมีจำกัด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ 85% ของบริษัทเป็นสิ่งจำเป็น และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดตะวันตกยังคงแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ SCBS คาดว่าปริมาณการผลิต และ Core EBITDA ต่อตันที่ดีขึ้นจากการผลิต IOD ในสหรัฐฯ มากขึ้นภายหลังการเดินเครื่องโรงงานอีเทนแครกเกอร์ ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่แข่งขันได้ รวมทั้ง IVL จะได้รับประโยชน์จากโครงการลดต้นทุนเพื่อให้ได้ตามเป้าลดต้นทุนที่ 287 ล้านดอลลาร์ในปี 2564 นอกจากนี้ยังมี Upside จากเงินชดเชยประกันภัยสำหรับการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานอีเทนแครกเกอร์ในสหรัฐฯ นอกแผน จำนวน 60-70 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้รับรู้ไปบางส่วนแล้วใน 1H64
มุมมองระยะยาว:
IVL ยังคงเป้าหมายที่จะเพิ่ม EBITDA เป็นสองเท่าภายในปี 2566 สู่ระดับ 2.3-2.4 พันล้านดอลลาร์ โดยจะเพิ่มกำลังการผลิต rPET อย่างต่อเนื่องจาก 330,000 ตันต่อปีในปัจจุบัน สู่ 750,000 ตันต่อปี และใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่แข่งขันได้ของธุรกิจ Combined PET
ทั้งนี้ ต้องติดตามการปรับปรุงประสิทธิภาพของสินทรัพย์ใหม่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พลาสติก