×

เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเมสซีอยู่กับบาร์เซโลนาต่อไปไม่ได้

โดย THE STANDARD TEAM
06.08.2021
  • LOADING...
lionel messi

ข่าวการประกาศแยกทางกันระหว่าง ลิโอเนล เมสซี และบาร์เซโลนา เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา นับเป็นข่าวที่ช็อกวงการกีฬาโลกอีกครั้ง และอาจจะช็อกมากกว่าเมื่อครั้งที่ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังชาวอาร์เจนตินาประกาศขอย้ายออกจากสโมสรเมื่อปีกลายด้วยซ้ำ

 

เพราะนี่คือการยืนยันอย่างเป็นทางการครั้งแรกว่า นับจากนี้ไปเมสซีไม่ใช่ผู้เล่นของบาร์เซโลนาอีกต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าโดยสถานะแล้วดาวเตะวัย 34 ปีจะไม่ได้เป็นผู้เล่นของสโมสรมาตั้งแต่หมดสัญญาฉบับเดิมเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงยึดโยงกันด้วยความผูกพันและอยู่ระหว่างการหาทางออกร่วมกัน

 

โดยช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวออกมาเป็นระยะว่าเมสซีจะเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับบาร์ซา รวมถึงในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (5 สิงหาคม) ที่มีกระแสข่าวว่าจะเป็นวันดีที่ปัญหาคาราคาซังระหว่างทั้งสองฝ่ายจะยุติลงด้วยดี แต่บทสรุปที่เกิดขึ้นกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

 

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้มีเงื่อนงำที่สลับซับซ้อนและเชื่อมโยงกับฝ่ายที่ 3 อย่างลาลีกาอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้การเซ็นสัญญาระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่เกิดขึ้น

 

ดังนั้นเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น นี่คือคำอธิบายทั้งหมดในเวลานี้ว่าทำไม ลิโอเนล เมสซี จึงไม่สามารถอยู่กับบาร์เซโลนาได้

 

เกิดอะไรขึ้นในการเจรจาสัญญากับเมสซี

ย้อนหลังกลับไปเกือบ 1 ปีก่อน เมสซีเคยช็อกโลกมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยการประกาศว่า เขาต้องการที่จะย้ายออกจากทีมบาร์เซโลนาโดยอิสระตามเงื่อนไขที่ทำไว้กับบาร์เซโลนา โดยให้เหตุผลว่า คิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะต้องไปจากทีม ขณะที่ลึกๆ แล้วเป็นที่รู้กันดีว่าสตาร์ชาวอาร์เจนไตน์มีปัญหากับ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ซึ่งเป็นประธานสโมสรในขณะนั้น อย่างรุนแรง

 

ครั้งนั้นบาร์โตเมวบีบบังคับให้เมสซีต้องทนอยู่กับสโมสรต่อไป โดยใช้เงื่อนไขในสัญญาและกระบวนการฟ้องร้องเป็นข้อต่อรอง ซึ่งดาวเตะขวัญใจหมายเลข 1 ของแฟนบอลไม่ต้องการที่จะมีปัญหากับสโมสรที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงประกาศว่าจะอยู่กับทีมต่อไป และจะไปจากทีมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล

 

อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์ทุกอย่างค่อยๆ คลี่คลายขึ้นตามลำดับ บาร์โตเมวและพวกถูกอัปเปหิออกจากสโมสรในช่วงเดือนตุลาคมปีกลาย ก่อนหน้าที่จะโดนลงมติไม่ไว้วางใจจากสมาชิกของสโมสรบาร์เซโลนา และทำให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งประธานสโมสรคนใหม่ก็คือประธานสโมสรคนเดิมอย่าง โจน ลาปอร์ตา ที่เป็นประธานคนแรกที่เมสซีรู้จัก

 

การกลับมาของลาปอร์ตาทำให้มีความหวังว่าเมสซีจะอยู่กับทีมต่อไป ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง เพราะมีการประกาศชัดเจนเป็นนโยบายของสโมสรว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการพยายามทำให้เมสซีอยู่ในถิ่นคัมป์นูต่อไปให้ได้ และดูเหมือนทางฝ่ายของดาวเตะอาร์เจนไตน์เองก็มีท่าทีที่โอนอ่อนลงมาก

 

เพื่อให้อยู่กับบาร์ซาต่อไป เมสซีแจ้งความประสงค์กับสโมสรว่ายินดีที่จะรับค่าเหนื่อยน้อยลงจากเดิม 50 เปอร์เซ็นต์ มีการประเมินตัวเลขเอาไว้ว่าจะลดจากปีละ 45 ล้านปอนด์ เหลือเพียงปีละ 20 ล้านปอนด์เท่านั้นในสัญญาระยะเวลา 5 ปี ซึ่งมีการวางแผนเอาไว้ในระยะเวลานี้จะเป็นการเล่นกับบาร์ซา 2 ปี และไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาในฐานะทูตของสโมสรอีก 3 ปี

 

ถือเป็นสัญญาที่สวยงามของเมสซี นักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของสโมสร

 

อย่างไรก็ดี การเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นไปอย่างล่าช้าและมีความคืบหน้าน้อยมากด้วยเหตุผล 2 อย่าง

 

หนึ่งคือบาร์เซโลนามีปัญหาภาระหนี้สินมหาศาลเกินไปถึงกว่า 1,173 ล้านยูโร ​ซึ่งตัวเลขจำนวนนี้มีทั้งหนี้ระยะสั้นและหนี้ระยะยาว

 

สองคือตามกฎทางการเงินของลาลีกา หรือ Financial Fair Play ซึ่ง ‘ไม่อิง’ กับของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA) บาร์เซโลนาไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสัญญากับเมสซีได้

 

และในความจริงพวกเขาไม่สามารถเซ็นสัญญากับผู้เล่นคนไหนอีกเลยก็ตามแม้กระทั่งในรายของ เมมฟิส เดปาย หรือ เซร์คิโอ อเกวโร ที่ได้ตัวมาแบบฟรีๆ ก็ตาม

 

ดังนั้นแม้ฝ่ายของบาร์ซาและเมสซีจะตกลงกันได้นานแล้วก็ตาม แต่เมื่อติดขัดเงื่อนไข 2 ประการนี้ ทำให้ไม่สามารถที่จะเซ็นสัญญากันอย่างเป็นทางการได้ โดยที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีความพยายามที่จะหาทางออกที่ดีที่สุดให้ได้ และยังเหมือนมีข่าวดีที่ลาลีกาได้ตัดสินใจขายหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ออกไปเพื่อแลกกับเงิน 2.7 พันล้านยูโรที่คาดว่าจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือสถานการณ์ทุกอย่างแย่ลงไปอีก และสุดท้ายนำมาซึ่งการยอมรับสภาพของบาร์ซาและเมสซีว่าการเซ็นสัญญาไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง

 

ก่อนจะจบที่การออกแถลงการณ์ของบาร์เซโลนาว่า “ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะมีความปรารถนาที่จะเซ็นสัญญาใหม่ แต่มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้”

 

แต่ในถ้อยแถลงนั้นมีข้อความระหว่างบรรทัดที่แม้ไม่ได้เขียนไว้แต่ก็อ่านออกอย่างชัดเจน

 

ถอดรหัสถ้อยแถลงของบาร์ซา

แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของสโมสรบาร์เซโลนา ซึ่งออกเมื่อเวลา 18.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น ระบุว่า

 

“ถึงแม้บาร์เซโลนาและ ลิโอเนล เมสซี จะบรรลุข้อตกลงและมีความตั้งใจจากทั้งสองฝ่ายที่จะเซ็นสัญญาฉบับใหม่กันในวันนี้ แต่มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะมีอุปสรรคทางการเงินและโครงสร้าง (ข้อบังคับของลาลีกา)

 

“ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้เมสซีไม่สามารถที่จะอยู่กับบาร์เซโลนาได้ ทั้งสองฝ่ายมีความเสียใจอย่างยิ่งที่ความปรารถนานของทั้งผู้เล่นและสโมสรจะไม่ได้รับการเติมเต็ม

 

“สโมสรบาร์เซโลนาขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับความทุ่มเทที่เขาได้ทำให้แก่สโมสรตลอดมา และขออวยพรให้ประสบความสำเร็จในอนาคตทั้งในชีวิตส่วนตัวและในเส้นทางอาชีพ”

 

ใจความสำคัญที่สุดใน 3 พารากราฟของแถลงการณ์นั้นอยู่ในพารากราฟแรกที่มีการระบุอย่างชัดเจนว่าในเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาระหว่างสโมสรหรือนักฟุตบอล แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ลาลีกาแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น

 

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้เป็นที่ชัดเจนมาสักพักใหญ่แล้ว เนื่องจากฝ่ายที่ออกมาขัดขวางการเซ็นสัญญาของเมสซีนั้นมีเพียงแค่คนเดียวคือ ฆาเบียร์ เตบาส ประธานลาลีกา ที่ยืนยันว่า บาร์เซโลนาจะต้องปฏิบัติตามระเบียบของลีกอย่างเคร่งครัด และจะไม่มีข้อยกเว้นหรือการผ่อนปรนใดๆ ให้แม้แต่นิดเดียว

 

ต่อให้นั่นจะหมายถึงการที่จะส่งผลกระทบต่อนักฟุตบอลที่ชื่อ ลิโอเนล เมสซีก็ตาม

 

โดยอุปสรรคใหญ่คือสิ่งที่เรียกว่า Financial Fair Play ของลาลีกา ซึ่งเป็นระเบียบของลาลีกาเองที่ไม่ได้อิงตาม Financial Fair Play ของ UEFA (แต่ละประเทศสามารถประยุกต์กฎเองได้สำหรับกิจการภายใน)

 

Financial Fair Play ของลาลีกาต่างจากปกติอย่างไร?

กฎทางการเงิน Financial Fair Play ของลาลีกานั้นมีสิ่งที่เพิ่มเติมจากของ UEFA ซึ่งมีหลักการสำคัญคือ การรักษาเสถียรภาพทางการเงินของสโมสรและมีแผนการใช้จ่ายที่ชัดเจน

 

สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับลาลีกาคือ การกำหนดเพดานที่สโมสรจะสามารถใช้จ่ายสำหรับนักฟุตบอลซึ่งเรียกว่า ‘Squad Cost Limit’ โดยจำนวนเงินที่สโมสรจะใช้ได้นั้นจะได้รับแจ้งก่อนหน้าที่ตลาดการซื้อขายจะเริ่มต้นขึ้น (วันที่ 1 กรกฎาคมของทุกปี) ทำให้สโมสรจะได้รับทราบว่าในฤดูกาลนี้จะสามารถใช้จ่ายได้เท่าไรและต้องบริหารให้ได้ไม่เกินนั้น

 

ส่วนนี้จะคล้ายกับสิ่งที่เรียกว่า Salary Cap หรือการกำหนดเพดานค่าเหนื่อย เพียงแต่ลาลีการะบุว่า พวกเขาไม่ได้กำหนดเพดานค่าเหนื่อยแต่อย่างใด แต่ละสโมสรสามารถจ่ายเงินค่าเหนื่อยนักฟุตบอลมากเท่าไรก็ได้ เพียงแต่รวมทั้งสโมสรแล้วจะต้องไม่เกินกว่าที่กำหนดเท่านั้น

 

สำหรับตัวเลขของแต่ละสโมสรนั้นจะถูกคำนวณโดยทีมวิเคราะห์ของลาลีกาที่จะประเมินตัวเลขทุกอย่างของสโมสร ตั้งแต่รายรับ รายจ่าย มูลค่าของนักฟุตบอล ฯลฯ เพื่อกำหนดออกมาเป็น Sqaud Cost Limit ของแต่ละสโมสร และสามารถยืดหยุ่นได้ หากสโมสรไม่พอใจก็สามารถขอตั้งคณะกรรมการพิจารณาเป็นพิเศษได้

 

ลาลีกายืนยันว่า การทำแบบนี้เพื่อความมั่นคงของสโมสรและของลีกในระยะยาว โดยที่สโมสรเองยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขัน ไม่เพียงแต่ลีกภายใน แต่ยังหมายถึงการแข่งขันกับสโมสรอื่นในรายการยุโรปได้ด้วย

 

จุดนี้เองที่บาร์เซโลนาเผชิญปัญหา เนื่องจากปัจจุบันสโมสรมีหนี้สินจำนวนมหาศาลถึง 1,173 ล้านยูโร และในส่วนของค่าเหนื่อยของทีมนั้นสูงทะลุ 110% ของรายรับในปัจจุบัน ซึ่งแม้แต่ตัวของลาปอร์ตาเองก็เคยยอมรับว่า สโมสรยังไม่สามารถปฏิบัติตามกฎทางการเงินของลาลีกาได้

 

ตามข้อมูลจาก The Guardian เผยว่า ในฤดูกาล 2019/20 บาร์ซามีเพดานอยู่ที่ 671 ล้านยูโร ขณะที่ในฤดูกาลที่ผ่านมาถูกลดลงเหลือแค่ 347 ล้านยูโร (ทำให้สโมสรต้องโละนักเตะอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ, อาร์ตูโร วิดัล และ อิวาน ราคิติช) และคาดว่าในฤดูกาลใหม่ตัวเลขจะลดลงไปอีก

 

ดังนั้นถึงเมสซีจะยินดีที่จะลดค่าเหนื่อยลงมา แต่หากบาร์ซาไม่สามารถ​ลดภาระส่วนอื่นได้ ซึ่งมีการประเมินว่าจะต้อง ‘ตัดทุกอย่าง’ ให้ได้ลงอีก 200 ล้านยูโรเป็นอย่างน้อย จึงจะสามารถต่อสัญญากับเมสซีได้ ทีมก็ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของลาลีกาได้อยู่ดี

 

ปัญหาคือบาร์ซายังเต็มไปด้วยนักเตะที่ได้รับค่าตอบแทนสูงแต่ให้ผลตอบแทนต่ำ อย่าง อุสมาน เดมเบเล, อองตวน กรีซมันน์, มิราเลม ปยานิช, ฟิลิปเป คูตินโญ และอีกมากมาย ซึ่งจุดนี้ทำให้แฟนบอลบาร์ซาจำนวนมากเกิดความกังขาในการทำงานของสโมสรเช่นกัน

 

เพราะถ้าหากบาร์ซาอยากให้เมสซีอยู่จริง ทำไมจึงแทบไม่มีการจัดการกับนักเตะที่ไม่มีประโยชน์กับทีมออกไปให้หมด เพื่อหาทางให้เมสซีอยู่ต่อไปให้ได้

 

ปัญหาระหว่างลาลีกากับบาร์เซโลนา (และเรอัล มาดริด)

เรื่อง Financial Fair Play ของลาลีกา ที่เป็นอุปสรรคในการต่อสัญญาของเมสซีนั้นยังไม่ใช่แค่ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้น เพราะระหว่างลาลีกากับบาร์เซโลนาเองได้เกิดปัญหาใหม่ตามมา

 

โดยย้อนกลับไปในวันพุธที่ผ่านมา ลาลีกาได้ประกาศว่าได้ ‘บรรลุข้อตกลงเบื้องต้น’ ในการขายหุ้นจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ ให้แก่บริษัทลงทุน CVC จากสหรัฐอเมริกา มูลค่า 2.7 พันล้านยูโรด้วยกันในสัญญระยะเวลานานถึง 50 ปี โดยเงินที่ได้จำนวน 90 เปอร์เซ็นต์จะถูกนำมาแบ่งให้แก่ 42 สโมสรในระดับพรีเมราและเซกุนดา (ดิวิชัน 1 และ 2) ซึ่งประสบปัญหาวิกฤตทางการเงินถ้วนหน้าเนื่องจากโควิด ที่ทำให้ไม่มีแฟนฟุตบอลเข้าสนามได้เป็นระยะเวลาถึง 1 ฤดูกาลเศษ

 

ดีลนี้จะถูกตัดสินด้วยการโหวตของ 42 สโมสรในสัปดาห์หน้า ว่าจะรับรองเรื่องนี้หรือไม่

 

เรื่องนี้มองผิวเผินแล้วเหมือนจะดี โดยบาร์ซาจะได้รับเงินส่วนแบ่งอีกราว 280 ล้านยูโรด้วยกันในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า และหลายฝ่ายมองว่าคงจะช่วยทำให้สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายได้ โดยเฉพาะเรื่องของเมสซี

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ ‘เงื่อนไข’ ในการใช้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวนั้น ลาลีการะบุเอาไว้ว่า 70 เปอร์เซ็นต์จะใช้เพื่อการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การตลาด และการพัฒนาแบรนด์ของสโมสร ขณะที่มีแค่ 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะใช้เพื่อการนำไปซื้อผู้เล่นเสริมทีมหรือค่าเหนื่อยของผู้เล่น (หรือโปะส่วนของ Squad Cost Limit)

 

15 เปอร์เซ็นต์ของ 280 ล้านยูโร มีค่าเท่ากับ 42 ล้านยูโร สำหรับระยะเวลา 3 ปีนั้นไม่เพียงพอสำหรับรายได้ของนักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี

 

ปัญหาใหญ่กว่าข้อต่อมาคือ ในการตกลงขายหุ้นครั้งนี้ลาลีกาได้ตั้งคณะกรรมการร่วมจาก 12 สโมสรเท่านั้นโดยไม่มีสโมสรใหญ่อย่างบาร์เซโลนาและเรอัล มาดริด ซึ่งปกติจะถือความได้เปรียบในการเจรจาเหนือสโมสรอื่น

 

ดังนั้นทั้งบาร์ซาและมาดริดต่างไม่พอใจกับการกระทำครั้งนี้ของลาลีกา โดยทางมาดริดได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเช่นกัน เพราะการที่หุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ของลาลีกาไปอยู่กับ CVC นั่นหมายถึงส่วนแบ่งของแต่ละสโมสรจะลดลงไปจากเดิม 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นระยะเวลายาวนานถึง 50 ปี

 

ยังไม่นับกรณีที่เตบาส ประธานลาลีกา ออกตัวขัดขวางทั้งมาดริดและบาร์ซาอย่างรุนแรงในเรื่องของการก่อตั้ง ‘ซูเปอร์ลีก’ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรอยร้าวระหว่างทั้งสองฝ่าย

 

และการออกแถลงการณ์ของบาร์ซาในทำนองกล่าวโทษลาลีกาก็ถูกมองเป็นส่วนหนึ่งของสงครามระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วย

 

อนาคตของเมสซี บาร์เซโลนา และลาลีกา หลังจากนี้

ถึงแม้จะมีความเชื่อจากฝ่ายนักวิเคราะห์ว่า การออกแถลงการณ์ครั้งนี้ของบาร์ซามีเป้าประสงค์เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับลาลีกา โดยหวังที่จะมีการเจรจาหรือผ่อนปรนเพื่อให้เมสซียังสามารถอยู่กับทีมได้อีก

 

แต่เรื่องนี้ก็อาจจะไม่ง่ายอย่างนั้น โดยเฉพาะกับฝ่ายของลาลีกาที่หากยอมผ่อนปรนจริงก็จะเสีย ‘หลักการ’ อย่างสิ้นเชิง และถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ และมันจะยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นอีกว่า

 

ลิโอเนล เมสซี ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่เกินสโมสร (บาร์เซโลนา) แต่ยังยิ่งใหญ่กว่าลีก (ลาลีกา)

 

ดังนั้นประเมินในเบื้องต้นได้ว่า เรื่องนี้จะไม่มีการพลิกกลับมาเหมือนปีก่อนแน่นอน เพราะเงื่อนไขนั้นยากกว่าเดิม เนื่องจากไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างบาร์ซากับเมสซี แต่เป็นเรื่องของ 3 ฝ่ายระหว่าง บาร์ซา เมสซี และลาลีกาด้วย

 

สำหรับบาร์เซโลนา พวกเขามีทางหนีทีไล่เผื่อเอาไว้แล้ว ด้วยการเสริมทัพแนวรุกอย่าง เมมฟิส เดปาย และ เซร์คิโอ อเกวโร ซึ่งแม้จะไม่สามารถทดแทนเมสซีได้อย่างแน่นอนไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม แต่อย่างน้อยก็น่าจะช่วยในเรื่องของเกมรุกของทีมได้ โดยเฉพาะดาวเตะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่ตัวเลขสถิติบ่งชี้ว่าเป็นผู้เล่นที่มี ‘ประโยชน์’ คล้ายเมสซี คือทั้งสร้างสรรค์เกมได้และจบสกอร์ได้เอง

 

ในเชิงของนักเตะที่เป็นขวัญใจ บาร์ซาค้นพบเปดรี สตาร์หน้าใหม่ที่ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับท็อปของสเปนอย่างรวดเร็วในระยะเวลาแค่เพียงปีเดียว

 

ที่สำคัญคือบาร์ซาจะปลดความทุกข์ยากที่เผชิญมาหลายปีในการจะพยายามหาคำตอบว่า “จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายให้เมสซี” ได้ด้วย แม้ว่ามันจะหมายถึงความเสียใจของแฟนบอลก็ตาม แต่ตามวัฏจักรที่ควรจะเป็นของเกมฟุตบอลแล้ว ไม่ควรมีนักฟุตบอลคนใดที่ยิ่งใหญ่เกินสโมสร

 

อย่างไรก็ดี ทุกคนยังรอความชัดเจนที่สุดจากปากของลาปอร์ตา ที่จะแถลงในเวลา 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 16.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย

 

สำหรับลาลีกา พวกเขาเผชิญปัญหาไม่แพ้กัน เพราะเมสซีคือ ‘แม่เหล็ก’ ที่ดีที่สุดตลอดช่วงระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงพีกที่สามารถขายเรื่องราว ‘เมสซี vs. โรนัลโด’ ได้ แม้ว่าสตาร์ชาวโปรตุเกสจะย้ายไปยูเวนตุสแล้ว ก็ยังเหลือดาวเตะอาร์เจนไตน์

 

ดังนั้นการขาดหายของเมสซีจะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของลีกอย่างแน่นอน เพราะจะเกิดคำถามสำหรับทั้งแฟนบอลว่า “ใครจะดูลาลีกาที่ไม่มีเมสซี” และสำหรับผู้ให้บริการที่ซื้อลิขสิทธิ์ของลาลีกาเช่นกัน ซึ่งอาจจะต้องลงไปดูในเงื่อนไขว่ามีการระบุหรือไม่ว่าจะต้องมีเมสซีในสัญญาหรือไม่

 

ส่วนทางด้านเมสซี สถานการณ์ตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่เขาลำบากที่สุด เพราะถึงใจจะอยากอยู่กับสโมสรและยอม ‘ถอย’  มาเยอะมากแล้ว แต่กลับไม่สามารถอยู่ต่อไปได้

 

ขณะที่สโมสรที่เคยมีข่าวด้วยกันอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพิ่งมีการประกาศคว้าตัว แจ็ค กรีลิช มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์ และเตรียมจะเดินหน้าล่าตัว แฮร์รี เคน ต่อ ที่อาจจะใช้เงินอีกไม่ต่ำกว่า 150 ล้านปอนด์ ทำให้โอกาสจะย้ายร่วมทีมนั้นเป็นไปได้น้อยมาก

 

ทีมที่พอจะเป็นไปได้มากที่สุดคือปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก็มีการเสริมทัพจำนวนมากเช่นกัน แต่ตามรายงานล่าสุดจากทางสเปนแล้ว พวกเขาได้รับการติดต่อมาจากฝ่ายของเมสซีเอง และทางด้านฝ่ายบริหารของสโมสรกำลังประเมิน ‘ความคุ้มค่า’ ว่าเงินที่จ่ายให้เมสซีนั้นจะได้อะไรแลกเปลี่ยนกลับมาบ้าง ซึ่งมีการประเมินเบื้องต้นว่า ‘เกินคุ้ม’ ในเรื่องของมูลค่าทางการตลาดและแบรนดิ้งของสโมสร

 

โดยที่มีความเป็นไปได้ที่การเซ็นสัญญาระหว่างเมสซีและเปแอสเชจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหากทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้จริง เพราะต้องรีบทำก่อนที่ลาลีกาหรือบาร์เซโลนาจะเปลี่ยนใจ

 

อย่างไรก็ดี เวลานี้ยังไม่มีการประกาศใดๆ จากเมสซีหรือเพื่อนนักเตะ

 

ทุกอย่างยังสามารถเกิดขึ้นได้ และเราทุกคนต่างอยู่ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของเกมฟุตบอล ณ ขณะนี้

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X