หลังแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวและโด่งดังไปทั่วโลกจากเดบิวต์อัลบั้ม When We All Fall Asleep, Where Do We Go? (2019) ที่ชนะ 5 รางวัล Grammy ล่าสุด Billie Eilish (บิลลี อายลิช) ป๊อปสตาร์สาวอายุ 19 ปี ศิลปินวัยรุ่นผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดแห่งยุคปัจจุบันก็กลับมาพร้อมอัลบั้มชุดใหม่ Happier Than Ever (2021) ซึ่งเป็นผลงานที่จะทำให้แฟนๆ หรือคนฟังเข้าใจตัวตนรวมถึงปัญหาหลายสิ่งที่เธอเคยเผชิญมามากขึ้น
Happier Than Ever คืออัลบั้มที่อัดแน่นไปด้วย 16 เพลงคุณภาพที่ Billie Eilish แต่งร่วมกับ Finneas พี่ชายที่แสนดีและโปรดิวเซอร์คู่ชีวิตซึ่งทำงานกับเธอมาตลอดเส้นทางศิลปิน พวกเขาบันทึกเสียง ณ สตูดิโอชั้นใต้ดินที่บ้านในเมืองลอสแอนเจลิสของฟินเนียสตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2020 ก่อนจะเสร็จสิ้นและปล่อยออกมาให้ฟังพร้อมกันทั่วโลกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้
หลังจากที่เราฟังจบครบทุกเพลงก็ต้องบอกว่า Happier Than Ever คือผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเธออย่างปฏิเสธไม่ได้ มันไม่เพียงเป็นอัลบั้มที่กะเทาะตัวตนแท้จริงของบิลลีออกมาให้คนฟังได้สัมผัส แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของเธอในหลายแง่มุม ทั้งวุฒิภาวะ มุมมองการใช้ชีวิต แนวทางการทำดนตรีที่มีความหลากหลายมากขึ้น (อันนี้ต้องให้เครดิต Finneas ด้วย เพราะหากไม่นับการร้อง เขาคือคนที่ทำงานเบื้องหลังทั้งหมด)
ตัวอัลบั้มไม่ได้เน้นซาวด์อิเล็กทรอนิกส์หรือเสียงสังเคราะห์และจังหวะหนึบๆ รัวๆ เป็นหลักเหมือนอัลบั้มแรก ด้านเนื้อหาเพลงยังคงบรรยากาศขมุกขมัว ดาร์กแต่เรียล เต็มไปด้วยความเปราะบางทางอารมณ์ เล่าเรื่องความบอบช้ำในจิตใจของ Billie Eilish ที่เกิดขึ้นจากการดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาต่างๆ อาทิ การถูกล่วงละเมิดทางเพศ, การตัดขาดความสัมพันธ์กับคนรัก, การพยายามไต่เต้าสู่ความสำเร็จในอุตสาหกรรมดนตรี, การเป็นคนสาธารณะผู้โด่งดังในยุคโซเชียลมีเดียซึ่งมักถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตลอด
Happier Than Ever เปิดหัวด้วย Getting Older บทเพลงเมโลดีสวยงามที่ Billie Eilish บอกว่า ‘เปิดเผย’ มากถึงขั้นรู้สึกอยากร้องไห้จนต้องหยุดพักกลางคันระหว่างเขียน ถัดมาเป็น I Didn’t Change My Number เพลงอัปบีตกลิ่นอายโซลอาร์แอนด์บีที่ฟังแล้วทำให้นึกถึงหลายเพลงจากอัลบั้มชุด WWAFA, WDWG? ตามด้วย Billie Bossa Nova เพลงแนวบอสซาโนวาสุดชิลที่แม้เนื้อหาจะไม่เกี่ยวอะไรกับทะเล แต่ก็เหมาะแก่การเปิดฟังขณะนั่งรับลมอยู่ริมชายหาดพร้อมจิบเครื่องดื่มเย็นๆ เป็นที่สุด
สำหรับเพลงเด่นๆ ที่เราขอเชียร์แบบออกนอกหน้าคือ My Future ซิงเกิลแรกของอัลบั้มที่เปิดมาด้วยดนตรีบัลลาดเศร้าสร้อยพร้อมเสียงร้องเหงาหงอยของ Billie Eilish ก่อนครึ่งหลังจะถูกแทนที่ด้วยความสดใสกลายเป็นเพลงป๊อปฟังก์ชวนโยกหลอมรวมเข้ากับคอนเซปต์เรื่องการมูฟออนและการค้นหาตัวเองได้อย่างลงตัว เป็นเพลงที่หากได้กดฟังครั้งหนึ่งแล้วก็จะเปิดวนไปอีกเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับ Happier Than Ever ไตเติลแทร็กที่ครึ่งเพลงแรกมาในแนวอะคูสติกฟังง่ายสบายหู ก่อนครึ่งหลังจะเปลี่ยนจังหวะกลายร่างเป็นเพลงอีโมร็อก สาดความเกรี้ยวกราดและเสียงแตกพร่าของกีตาร์ไฟฟ้าใส่คนฟังแบบไม่ทันตั้งตัว ชนิดที่ไม่ว่าใครก็ต้องเซอร์ไพรส์ เพราะคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะทำเพลงแบบนี้
ส่วนเพลงอื่นๆ ที่เหลือในอัลบั้มก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Gold Wing ซึ่งโดดเด่นด้วยไลน์ประสานเสียงช่วงต้น, Lost Cause เพลงที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าปลดปล่อยตัวเองไปอีกขั้นของ Billie Eilish เหมือนที่เราเห็นกันในเอ็มวี, Not My Responsibility บทพูดประกอบซาวด์ดนตรีที่เธอทำขึ้นเพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มคนที่ลดทอนคุณค่าของเธอจากรูปร่างและเสื้อผ้าที่ใส่, Everybody Dies เพลงที่ถูกกลั่นออกมาจากความกลัวตายของ Billie Eilish, Therefore I Am ซิงเกิลฮิตแนวฮิปฮอปอาร์แอนด์บีที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเพลงที่หลายคนชอบสุดในอัลบั้ม
Happier Than Ever คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่คุ้มค่าแก่การรอคอยและไม่ทำให้ผิดหวัง แถมยังช่วยตอกย้ำแรงๆ กับเราอีกครั้งว่าที่ Billie Eilish ประสบความสำเร็จมหาศาล และก้าวขึ้นไปอยู่ระดับท็อปของวงการได้ภายในเวลาอันรวดเร็วนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือฟลุก แต่เป็นเพราะความสามารถอันน่าทึ่งและศักยภาพของเธอเองล้วนๆ
จะเป็นอัลบั้มที่หลายคนหลงรัก ถูกสื่อดนตรีหัวใหญ่หลายสำนักจัดให้อยู่ในลิสต์อัลบั้มแห่งปี 2021 ได้เข้าชิงรางวัลต่างๆ มากมาย พร้อมถูกยกย่องในฐานะผลงานที่มีอิทธิพลเป็นส่วนสำคัญของป๊อปคัลเจอร์ยุคนี้ และเหนือสิ่งอื่นใด เราเชื่อเหลือเกินว่าความรู้สึกที่ทุกคนจะมีเหมือนกันหลังฟัง Happier Than Ever จบก็คือความยินดีที่เห็น Billie Eilish ฝ่าฟันก้าวผ่านความเจ็บปวดทั้งมวลจนวันนี้เธอสามารถมายืนอยู่ในจุดที่ ‘มีความสุขมากกว่าเคย’ ได้อย่างเข้มแข็ง
*สามารถฟังอัลบั้ม Happier Than Ever ได้ทางสตรีมมิงทุกแพลตฟอร์ม และ YouTube แชนแนล Billie Eilish
ภาพ: Billie Eilish