ใกล้จะเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแต่ละแห่ง ซึ่งโดยปกติแล้วกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BANK) จะเป็นหุ้นกลุ่มแรกที่ทยอยประกาศงบในแต่ละไตรมาสออกมาให้ได้เห็นกันก่อน
สำหรับไตรมาส 2 ของปีนี้ นักวิเคราะห์บางส่วนประเมินว่ากำไรรวมของหุ้นกลุ่มแบงก์มีโอกาสจะหดตัวลงจากไตรมาสแรก แต่ยังคงปรับตัวขึ้นได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
กรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ประเมินว่า กำไรรวมของกลุ่มแบงก์ในไตรมาส 2 ปี 2564 ของ 7 บริษัท ได้แก่ BAY, BBL, KKP, KTB, SCB, TISCO และ TTB น่าจะทำได้ 3.4 หมื่นล้านบาท ลดลง 3% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน
อย่างไรก็ตามหากตัดกำไรพิเศษราว 7 พันล้านบาทของ BAY ซึ่งได้กำไรจากการนำ ‘เงินติดล้อ (TIDLOR)’ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้กำไรรวมของทั้ง 7 แบงก์ ลดลง 22% จากไตรมาสแรก
ปัจจัยกดดันกำไรของกลุ่มแบงก์มาจาก 3 ส่วนหลัก คือ
1. ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ลดลง
2. รายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง
3. การตั้งสำรองที่อาจจะสูงขึ้น
ส่วนการเติบโตได้จากปีก่อนเนื่องจากฐานที่ต่ำมาก
“แม้กำไรไตรมาส 2 จะออกมาแย่ แต่ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ได้สะท้อนไปพอสมควรแล้ว ทำให้ตลาดไม่น่าจะตกใจมากนัก แต่สิ่งที่น่าจะจับตาคือแนวโน้มในช่วงหลังจากนี้ ซึ่งต้องติดตามว่าแบงก์จะมีการปรับเป้าหมายในช่วงที่เหลือของปีหรือไม่ เช่น เป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อ หรือระดับการตั้งสำรองฯ รวมถึงรายงานการช่วยเหลือลูกหนี้”
เดิมทีตลาดประเมินกันว่าไตรมาส 2 น่าจะเป็นจุดต่ำสุด แต่ด้วยการระบาดของโควิดระลอกใหม่ที่รุนแรงขึ้น ทำให้มีโอกาสที่กำไรในไตรมาส 3 จะลดลงต่อได้อีก แต่ทั้งนี้ต้องติดตามว่าการควบคุมการแพร่ระบาดในช่วงถัดจากนี้จะเป็นอย่างไร
“เบื้องต้นเรามองว่าราคาหุ้นแบงก์สะท้อนไปมากแล้ว แต่หากผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาดก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะลดลงไปได้อีก แต่ทั้งนี้เราแนะนำซื้อบนข่าวร้าย เพราะไม่ช้าก็เร็วเชื่อว่าโควิดจะถูกควบคุมได้ ด้วยราคาหุ้นแบงก์ขณะนี้ที่เทรดบน P/BV (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี) ที่ 0.5-0.6 เท่า สามารถคาดหวังผลตอบแทนในระดับ 15-20% รวมถึงเงินปันผลอีกราว 4-5% ซึ่งอาจต้องใช้เวลาถืออย่างน้อย 6 เดือนหรือ 1 ปี”
ธนภัทร ฉัตรเสถียร ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินแนวโน้มกำไรของ 6 หุ้นแบงก์ ได้แก่ BBL, KBANK, KTB, SCB, TTB และ TISCO คาดว่าจะมีรายได้รวม 3.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 15% จากไตรมาสก่อน แต่เติบโต 47% จากปีก่อนเนื่องจากฐานที่ต่ำ
ทั้งนี้คาดว่ากำไรของทุกธนาคารจะอ่อนลงจากไตรมาสแรก โดยกดดันจากรายได้ค่าธรรมเนียมและกำไรจากการลงทุนที่ไม่ดีเท่ากับไตรมาสแรก หลังจากที่ตลาดทุนในช่วงไตรมาส 2 ทำได้แค่ทรงตัว กระทบต่อกำไรจากเงินลงทุน ประกอบกับการระบาดของโควิดระลอกใหม่ ทำให้การขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของแบงก์ทำได้น้อยลง
นอกจากนี้การตั้งสำรองหนี้ของแบงก์ในไตรมาส 2 น่าจะเพิ่มขึ้น 11% หลังการกลับมาระบาดของโควิดอีกรอบ แต่ในส่วนนี้เชื่อว่าจะกระทบต่อ NPL ไม่มากนัก เพราะยังมีมาตรการช่วยเหลืออยู่
“แนวโน้มของแบงก์ในไตรมาส 3 อาจจะยังไม่ดีนัก เพราะยังไม่เห็นปัจจัยบวกใดๆ แต่หากมองภาพทั้งปี กำไรของกลุ่มแบงก์ยังอยู่ในประมาณการเรา หากกำไรไตรมาส 2 ออกตามคาด จะทำให้กำไรรวมครึ่งปีแรกคิดเป็น 55% ของประมาณการทั้งปี”
ทั้งนี้มองว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ช่วงนี้น่าจะขึ้นลงตามตลาด ซึ่งความน่าสนใจของกลุ่มแบงก์จะอยู่ที่ระยะยาวมากกว่า ด้วยมูลค่าหุ้นที่ยังถูกจึงแนะนำเลือกหุ้นที่มีกำไรไตรมาส 2 น่าจะหดตัวน้อยเทียบกับกลุ่ม ได้แก่ BBL, KBANK และ TISCO
ทั้งนี้ดัชนีของหุ้นกลุ่มแบงก์ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงไป 19% จากไตรมาสก่อน จากระดับ 401.51 จุด ไปทำจุดต่ำสุดที่ 324.70 จุด เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา