วันนี้แล้วที่การอดหลับอดนอนของบรรดาแฟนบอลจะสิ้นสุดลงไปพร้อมกับเสียงนกหวีดสุดท้ายของเกมชิงชนะเลิศยูโร 2020 ที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งอิตาลีจะเข้าไปลุ้นแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 2 และสมัยแรกในรอบ 53 ปี โดยจะต้องแย่งชิงกับอังกฤษที่หวังคว้าแชมป์นี้เป็นสมัยแรก และเป็นการลุ้นแชมป์เมเจอร์ระดับชาติครั้งแรกในรอบ 55 ปี นับตั้งแต่คว้าแชมป์โลกในปี 1966 ได้สำเร็จ ดังนั้นการแข่งขันเกมนี้จึงเป็นการแข่งขันที่เดิมพันด้วยการรอคอยอันยาวนานของทั้งสองชาติ
อังกฤษผ่านเดนมาร์กมาแบบมีดราม่า ทำให้พวกเขาต้องพิสูจน์ตัวเองในนัดชิงอีกครั้ง
เส้นทางสู่นัดสุดท้าย
อิตาลีมีสถิติชนะ 5 นัด เสมอ 1 นัด และใม่แพ้ใครในการเล่น 6 นัดในทัวร์นาเมนต์นี้ แต่ถ้านับรวมการตัดสินด้วยการดวลลูกที่จุดโทษไปด้วย พวกเขาจะมีสถิติชนะ 6 นัดรวด โดยพวกเขาเริ่มต้นทัวร์นาเมนต์อย่างยอดเยี่ยมในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม A หลังกำชัยได้ทั้ง 3 นัด ไล่ถล่มทีมอย่างตุรกี 3-0, สวิตเซอร์แลนด์ 3-0 และเอาชนะเวลส์ 1-0 หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องออกแรง 120 นาทีในการเอาชนะออสเตรีย ก่อนเฉือนชัยเหนือเบลเยียมในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์ 2-1 และล้มสเปนด้วยการดวลลูกที่จุดโทษ 4-2 หลังเสมอในเวลา 1-1
อิตาลียิงไปแล้ว 12 ประตู และเสียเพียง 3 ประตูเท่านั้น โดยเก็บคลีนชีตในทัวร์นาเมนต์นี้ได้ถึง 3 นัด ทั้งยังสามารถสร้างโอกาสมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในบรรดาชาติที่ร่วมแข่งขันทั้งหมด 24 ชาติ พวกเขายังมีทีเด็ดในการเบียดแย่งบอลที่เอาชนะคู่แข่งได้ถึง 74 ครั้ง สูงสุดเป็นอันดับ 3 รองเพียงแค่สวิตเซอร์แลนด์และเดนมาร์ก โดยยังวิ่งไล่เก็บบอลได้มากถึง 249 ครั้ง เป็นอันดับที่ 3 เช่นกัน นั่นแสดงให้เห็นว่านอกจากพวกเขาจะเป็นทีมที่มีเกมบุกอันน่าสนใจแล้ว ยังเป็นทีมที่ขยันอย่างต่อเนื่องจนมาถึงรอบชิงชนะเลิศนี้ได้ในที่สุด
ขณะที่อังกฤษก็เป็นอีกทีมที่ยังไม่แพ้ใครในทัวร์นาเมนต์นี้ร่วมกับอิตาลีและสเปน (หากไม่นับการดวลที่จุดโทษ) โดยมีสถิติเท่ากับอิตาลีเป๊ะๆ ที่ชนะ 5 นัด เสมอ 1 นัด โดยพวกเขาเริ่มต้นการแข่งขันรายการนี้จากการร่วมกลุ่ม D โดยมีสมาชิกอย่าง โครเอเชีย, สกอตแลนด์ และสาธารณรัฐเช็ก ‘สิงโตคำราม’ ทำผลงานในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเก็บชัยชนะ 2 นัด เหนือโครเอเชียและเช็ก เกมละ 1-0 ส่วนการเจอกับสกอตแลนด์ พวกเขาทำได้แค่เสมอ 0-0 เท่านั้น นั่นทำให้พวกเขาถูกตั้งแง่จากแฟนบอลและสื่อมวลชนเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นพอสมควร
อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ อังกฤษต้องเจอกับบททดสอบสำคัญอย่างเยอรมนีในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และอังกฤษก็เริ่มเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้ ด้วยการเอาชนะ ‘อินทรีเหล็ก’ ไป 2-0 และตามมาด้วยการถล่มยูเครนขาดลอย 4-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ซึ่งจะเป็นเกมเดียวในทัวร์นาเมนต์นี้ของพวกเขาที่จะต้องเล่นนอกเวมบลีย์ และกลับมาเฉือนชัยเหนือเดนมาร์กในการต่อเวลาพิเศษ 2-1
อิตาลีเอาชนะเบลเยียมในรอบ 8 ทีม นับเป็นเกมที่ยากที่สุดเกมหนึ่งของพวกเขา
เรื่องราวของอิตาลี
โรแบร์โต มันชินี เข้ามาเปลี่ยนแปลงอิตาลีให้เป็นทีมที่เล่นบอลสนุกและเดินเข้าหาคู่ต่อสู้ ไม่ใช่รอให้คู่ต่อสู้เดินเข้าหาเหมือนในอดีต นั่นเองที่ทำให้พวกเขาไม่แพ้ใครติดต่อกันมานานถึง 33 นัด และต้องการผลการแข่งขันที่ไม่แพ้อีก 2 นัดเท่านั้น เพื่อขึ้นไปทาบสถิติสูงสุดตลอดกาลที่สเปนครองร่วมกันกับบราซิล จากการไม่แพ้ใครติดต่อกันยาวนานถึง 35 นัดในการแข่งขันทุกรายการ
อย่างไรก็ตามอิตาลีไม่ค่อยถูกโฉลกกับรอบชิงชนะเลิศในฟุตบอลยูโรสักเท่าไร หากไม่นับในปี 1986 ที่การแข่งขันจัดขึ้นในอิตาลี ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์ไปครองได้ในบั้นปลาย ‘อัซซูรี’ ได้เข้าชิงอีก 2 ครั้งในปี 2000 และ 2012 ซึ่งผลการแข่งขันลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ทั้งสองนัด โดยในปี 2000 พวกเขาเจอทีเด็ดของ ดาวิด เทรเซเกต์ กองหน้าของทีมชาติฝรั่งเศส ขณะที่ปี 2012 ก็พ่ายต่อสเปนอย่างขาดลอย 0-4
อิตาลีทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในทัวร์นาเมนต์นี้ พวกเขาทำเกมรุกได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจเมื่อต้องบุก แต่ในทางกลับกัน ยามที่ต้องเล่นเกมรับพวกเขาก็ทำได้เหมือนยกอิตาลีในยุคเก่ามาเล่น เพราะมีทั้งความอดทน วินัย และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้เรื่องจิตใจของอิตาลีชุดนี้ก็ยังแข็งแกร่ง แม้จะมีนักเตะอายุน้อยในทีมอยู่หลายคน ซึ่งสังเกตได้จากการที่พวกเขายิงจุดโทษกับสเปนได้อย่างยอดเยี่ยม
อิตาลีไม่เคยแพ้อังกฤษใรการพบกับในฟุตบอลเมเจอร์รอบสุดท้าย พวกเขาเอาชนะไปได้ในฟุตบอลยูโร 1980 ด้วยประตูชัยของ มาร์โก ทาร์เดลลี และในยูโร 2012 อิตาลีก็คว้าชัยเหนืออังกฤษด้วยการดวลลูกที่จุดโทษ ซึ่งการยิงแบบปาเนนกาของ อันเดรีย ปิร์โล ในเกมนั้นยังถูกจดจำและพูดถึงมาจวบจนปัจจุบัน ขณะที่ในฟุตบอลโลกที่เจอกัน 2 ครั้ง อิตาลีก็ชนะหมด ทั้งในการชิงอันดับ 3 ปี 1990 และในรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก 2014 ก็ตาม
ราฮีม สเตอร์ลิง และ แฮร์รี เคน ยิงให้อังกฤษไปแล้วรวมกันถึง 7 ประตู
อังกฤษกับตัวเลขที่น่าสนใจ
อังกฤษเป็นทีมที่มีเกมบุกอยู่ในระดับหัวแถวของทัวร์นาเมนต์ พวกเขายิงไปแล้ว 10 ประตู และยังเป็นชาติเดียวเท่านั้นที่แนวรุกของทีมยิงได้รวมกันเกิน 6 ประตู จากฝีเท้าอันเฉียบขาดของ แฮร์รี เคน ที่ยิงไป 4 ประตู กับ ราฮีม สเตอรลิง ที่ยิงไป 3 ประตู โดยกองหน้าจากท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ก็กำลังอยู่ในช่วงที่เข้าฝักหลังทำไปแล้ว 4 ประตูในการลงสนามเพียง 3 เกมหลังสุดเท่านั้น
อังกฤษสร้างโอกาสยิงไปแล้ว 58 ครั้ง น้อยกว่าอิตาลีที่ทำได้ 108 ครั้งเกือบครึ่ง พวกเขายิงได้ถึง 10 ประตู น้อยกว่าอิตาลีแค่ 2 ประตูเท่านั้น บ่งบอกว่าพวกเขาไม่ต้องใช้เวลามากมายในการเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตู เพราะบรรดาขุมกำลังในแดนกลางมีให้เลือกใช้ได้ตั้งแต่ เมสัน เมาท์, แจ็ค กรีลิช, ฟิล โฟลเดน และ บูกาโย ซากา พวกเขาจะทยอยเข้ามาเติมเกมในแดนหน้าและสร้างปัญหากับทีมรับของคู่แข่งได้เสมอๆ
นอกจากความโดดเด่นในเกมบุกแล้ว อังกฤษยังเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดเพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้น และพวกเขาเพิ่งเสียมันไปในเกมก่อนที่เอาชนะเดนมาร์ก 2-1 โดยเป็นการเสียประตูจากลูกฟรีคิกให้ มิคเกล ดัมส์การ์ด นั่นหมายความว่า อังกฤษยังไม่เคยเสียประตูจากลูกโอเพ่นเพลย์ในทัวร์นาเมนต์นี้แม้แต่ประตูเดียว แถมยังมีคลีนชีตอีกถึง 5 นัด มากที่สุดในบรรดาทุกทีมด้วย
นอกจากความแข็งแกร่งในเชิงตัวผู้เล่นแล้ว เกมนี้อังกฤษยังได้เปรียบในด้านสภาพแวดล้อมอีกด้วย เพราะนอกจากได้เล่นในสนามของพวกเขาเองในกรุงลอนดอน อย่างเวมบลีย์ สเตเดียม และภายใต้สนามแห่งนี้ทัพ ‘สิงโตคำราม’ ไม่กลัวใครทั้งนั้น แม้แต่อิตาลีที่มีสถิติเหนือกว่าพวกเขาในการเจอกัน เพราะสถิติย้อนหลัง 28 นัดที่อังกฤษเล่นในเวมบลีย์ภายใต้การคุมทีมของเซาท์เกต พวกเขาแพ้ไปเพียงแค่ 2 นัดเท่านั้น
อิตาลีหักด่านสเปน การดวลลูกที่จุดโทษเข้ามาชิงยูโรเป็นหนที่ 4
ความพร้อมและสถิติที่น่าสนใจ
อิตาลีดูเป็นรองเล็กน้อยในเรื่องของขุมกำลัง เนื่องจากพวกเขาต้องเสียฟูลแบ็กคนสำคัญอย่าง เลโอนาร์โด สปินาซโซลา ไปจากอาการเอ็นร้อยหวายฉีกในเกมที่เอาชนะเบลเยียม แต่แนวรับจากโรมาก็กลายมาเป็นจุดรวมใจให้ทีมอิตาลีตั้งใจจะคว้าแชมป์รายการนี้เพื่อมอบให้กับเพื่อนที่ทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้คนนี้ด้วย โดยในเกมนี้สปินาซโซลา แม้จะยังเดินปกติไม่ได้ก็ยังตามมาดูเพื่อนๆ ที่สนามด้วย
ขณะที่ทางฝั่งอังกฤษมีรายงานข่าวว่า บูกาโย ซากา มีอาการบาดเจ็บรบกวนเล็กน้อย แต่นั่นไม่น่าใช่ปัญหา เพราะทางเซาท์เกตมีตัวเลือกอื่นๆ ให้ใช้งานได้อีกหลายราย ในกรณที่ดาวรุ่งจากอาร์เซนอลลงสนามไม่ได้จริงๆ ดังนั้นให้ถือว่าอังกฤษมีความพร้อมสมบูรณ์กว่า แถมยังจะได้เล่นต่อหน้าแฟนบอลของตัวเองในเวมบลีย์ ทำให้พวกเขาน่าจะอยู่ในสภาพที่มั่นใจมากเช่นกัน
หลังจากชัยชนะของอิตาลีในฟุตบอลโลก 2014 รอบแบ่งกลุ่ม อิตาลีกับอังกฤษเจอกันอีก 2 นัดในการแข่งขันเกมกระชับมิตร ซึ่งทั้งสองทีมเสมอกันไปด้วยสกอร์ 1-1 ทั้งสองนัด สอดคล้องกับผลสำรวจบรรดาแฟนบอลก่อนหน้านี้ที่เชื่อว่าเกมนี้อาจจะไม่จบใน 90 นาที และแฟนบอลจากทั้งสองชาติรวมกันเกินครึ่งเชื่อว่าอังกฤษและอิตาลี อาจจะต้องตัดสินกันด้วยการดวลลูกที่จุดโทษเลยก็ได้ ซึ่งถ้าไปถึงจุดนั้นจริงๆ ใครจะเป็นแชมป์ก็ได้ทั้งนั้นแล้ว!
อ้างอิง:
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/news/026b-12b4b8b00dbb-a0da47dc0c0d-1000–italy-vs-england-final-preview/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/news/026b-12b87b91d50b-d2d4fddf0f0b-1000–key-battles-italy-vs-england/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/news/0269-1262855338b0-a7a22fe4ebb4-1000–italy-vs-england-team-news/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/news/026b-12af0bc8f078-5c234c40e225-1000–euro-final-italy-vs-england/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/news/0256-0db422ecc788-fc419fd78f92-1000–euro-2020-meet-the-teams/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/statistics/