อิตาลีเข้าชิงแชมป์ฟุตบอลยูโรได้อีกครั้ง หลังจากที่ต้องผิดหวังไปในปี 2000 และ 2012 ทำให้พวกเขายังนับ 2 ไม่ได้ในการคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรเสียที (อิตาลีเคยได้แชมป์ 1 สมัยในปี 1968) ทั้งที่ทัพ ‘อัซซูรี’ คว้าแชมป์โลกมาครองได้แล้วถึง 4 สมัย มากสุดในบรรดาทีมยุโรปทั้งหมดร่วมกับเยอรมนี อย่างไรก็ตามมันก็มีเหตุผลมากมายที่สนับสนุนว่าอิตาลีจะสามารถคว้าแชมป์ยูโรหนนี้ได้สำเร็จ และนี่คือเหตุผลที่น่าสนใจ
อิตาลี ไล่แย่งบอลจากตุรกีได้หลายครั้ง ก่อนเอามาทำประตูได้ในเกมเปิดสนาม
อิตาลีทำได้ทุกอย่าง
ในช่วงต้นของทัวร์นาเมนต์ อิตาลีเปิดตัวในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเป็นทีมที่ครองบอลบุกและเพรสซิงไล่บอลใส่คู่แข่งตั้งแต่แดนหน้า และได้บอลกลับมาครอบครองเพื่อบุกใส่ใหม่อย่างรวดเร็ว และภาพลักษณ์ของพวกเขาก็เป็นแบบนั้นไปตลอด 3 เกมแรก แต่ในรอบน็อกเอาต์ อิตาลีต้องมาเผชิญกับบททดสอบที่ต่างออกไป ทั้งการทดสอบในเกมรับที่เจอออสเตรียตั้งรับใส่ตลอดเกม การทดสอบสภาพจิตใจในเกมที่กดดันช่วงครึ่งหลังกับเบลเยียม รวมไปถึงการทดสอบเกมรับจากการโดนสเปนครองบอลบุกเป็นส่วนใหญ่
นั่นกล่าวได้ว่าอิตาลีเจอบททดสอบมาหมดทุกอย่างแล้ว และพวกเขาก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่า สามารถทำได้ทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อชัยชนะ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นที่ดูสนุกสวยงาม การครองบอลเพื่อบีบให้คู่แข่งเปิดช่องว่างในการเข้าทำ หรือการเล่นเกมรับที่เคยเป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีในสมัยก่อน สิ่งเหล่านี้หลอมรวมกลายมาเป็นทัพ ‘อัซซูรี’ ที่สมบูรณ์แบบชุดหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์
หัวใจสำคัญของความยืดหยุ่นในทีมอาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้มีสตาร์ที่โดดเด่นเหมือนยุคสมัยที่ผ่านมา ทำให้นักเตะอย่าง มาร์โก แวร์รัตติ, จอร์จินโญ กลายเป็นสมองให้ทีม โดยมี นิโคโล บาเรลลา คอยช่วยเหลืองานทั้งในเกมรุกและรับ เฟเดริโก เคียซา แม้จะอายุน้อยแต่ก็อันตรายเพราะเล่นได้ทั้งซ้ายและขวา อย่างที่เราได้เห็นเขายิงได้จากเท้าทั้งสองข้างมาแล้ว ส่วน ลอเรนโซ อินซิเญ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายอดเยี่ยมแค่ไหน
ด้านแนวรับยังเป็นจุดขายของอิตาลีเสมอมา แม้ในเกมแรกๆ เราจะไม่ได้เห็นพวกเขาแสดงศักยภาพสักเท่าไร แต่มันก็ชัดเจนขึ้นในเกมกับเบลเยียม โดยเฉพาะกับสเปนที่คู่หู เลโอนาร์โด โบนุชชี และ จอร์โจ คิเอลลินี เล่นกันได้อย่างเกือบสมบูรณ์แบบ (ยกเว้นจังหวะหลุดเดี่ยวของ อัลบาโร โมราตา) และนายทวารอย่าง จานลุยจิ ดอนนารุมมา ยิ่งช่วยให้งานของทั้งคู่ง่ายขึ้นอีกมากจากการออกมาตัดบอลและช่วยเซฟในจังหวะสำคัญ
จานลุยจิ ดอนนารุมมา (คนซ้าย) ปราการด่านสุดท้ายของอิตาลี
ผู้รักษาประตูที่ดีกว่า
จานลุยจิ ดอนนารุมมา คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่อิตาลีเดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ แม้เขาจะเสียไปแล้ว 3 ประตู ซึ่งมากกว่า จอร์แดน พิกฟอร์ด ของอังกฤษ แต่บททดสอบที่เขาต้องเผชิญมากกว่านายด่านของ ‘สิงโตคำราม’ แบบเทียบกันไม่ได้ เขาเป็นปราการด่านสุดท้ายของอิตาลีอย่างแท้จริง และการขึ้นเกมของทีมชุดนี้ก็จะมีจุดเริ่มต้นมาจากเขาอยู่บ่อยๆ
ถ้าหากยังจำกันได้ ลูกยิงของ เควิน เดอ บรอยน์ จากการโต้กลับในครึ่งแรกรอบก่อนรองชนะเลิศ ถูกดอนนารุมมาป้องกันไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม เขายังมีบาบาทที่ชัดเจนจากการเป็นฮีโร่เซฟ 2 จุดโทษ ในการดวลลูกที่จุดโทษเอาชนะสเปนไปได้ 4-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษด้วย นั่นเราพูดกันถึงแค่ฝีมือการป้องกันประตูเท่านั้น เพราะ ‘จีโจ’ ยังมีทีเด็ดจากการออกมาตัดบอลกลางอากาศที่ยอดเยี่ยมด้วยส่วนสูงเกือบ 2 เมตร ซึ่งเป็นสิ่งที่พิกฟอร์ดไม่มี
ส่วนสูงและขนาดตัวของดอนนารุมมานี้เองที่ทำให้อิตาลีมั่นใจถ้าหากเกมไปถึงในช่วงการดวลลูกที่จุดโทษ เพราะลองจินตนาการภาพว่านักเตะอังกฤษต้องเผชิญหน้ากับผู้รักษาประตูร่างยักษ์เกือบ 2 เมตร กับนักเตะอิตาลีที่ต้องซ้อมยิงจุดโทษกับ ‘จีโจ’ แล้วไปยิงใส่ผู้รักษาประตูที่ตัวเล็กกว่าเขาเกือบ 15 เซนติเมตรอย่าง จอร์แดน พิกฟอร์ด ความมั่นใจของใครจะมากกว่ากัน
และแม้จะมีอายุเพียง 22 ปี แต่ดอนนารุมมาก็ติดทีมชาติมาแล้วถึง 32 นัดให้อิตาลี แถมลงเล่นให้เอซี มิลานกว่า 215 เกม เขามีโอกาสอย่างมากที่จะกลายเป็น จานลุยจิ บุฟฟอน คนต่อไป และสถิติสุดมหัศจรรย์ที่เขาสร้างไว้ทำให้แฟนๆ อิตาลีอุ่นใจได้เสมอ นั่นคือนับตั้งแต่เขาลงมาเฝ้าเสาให้อิตาลี ไม่มีนัดไหนเลยที่เขาเสียประตูมากกว่า 1 ลูก นั่นเองที่กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อิตาลีไม่แพ้ใครมาถึง 33 เกมเข้าไปแล้ว
มานูเอล โลคาเตลลี อีกหนึ่งนักเตะอายุน้อยที่มาเติมเต็มอิตาลีให้แข็งแกร่ง
ความแข็งแกร่งในภาพรวม
สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้จากอิตาลีชุดนี้และเป็นจุดที่ทำให้พวกเขายอดเยี่ยมเสมอมาคือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นับตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาลงสนาม การร้องเพลงชาติอันเป็นเอกลักษณ์ก่อนเกม รวมไปถึงเวลาที่มีใครทำหน้าที่ได้ดีหรือเล่นผิดพลาด นักเตะคนอื่นๆ จะเข้ามาร่วมแสดงความยินดีหรือปลอบใจอย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งให้ใครอยู่คนเดียวกับสิ่งที่เขาต้องแบกรับ
แน่นอนว่าอิตาลีชุดนี้ไม่มีนักเตะอย่าง โรเมลู ลูกากู, เควิน เดอ บรอยน์ หรือ คริสเตียโน โรนัลโด แต่ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนมันกลายมาเป็นความสมบูรณ์แบบของทีม การมีผู้เล่นที่ติดทีมชาติเกิน 100 นัดอย่าง จอร์โจ คิเอลลินี หรือ เลโอนาร์โด โบนุชชี ในทีม ช่วยทำให้นักเตะหน้าใหม่ๆ ในทีมอิตาลีไม่ตื่นกลัวหรือตระหนกมากเกินความจำเป็นในเวลาสำคัญ
ขณะเดียวกัน โรแบร์โต มันชินี ก็เลือกใช้นักเตะอายุน้อยหลายราย แถมพวกเขาก็ทำผลงานได้ดีในทัวร์นาเมนต์นี้ ไม่ว่าจะเป็น เฟเดริโก เคียซา ที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว, นิโคโล บาเรลลา ที่กลายเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ในแดนกลาง หรือตัวสำรองอย่าง มัตเตโอ เปสซินา ที่ลงมาเปลี่ยนเกมได้เสมอๆ นี่คือการผสมผสานนักเตะอย่างลงตัวจนทีมทำผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
โดยเมื่อมองไปยังภาพรวมของผลงายแล้ว อิตาลีชุดนี้แทบไม่มีใครเล่นผิดพลาดร้ายแรงจนทำให้ทีมเสียประโยชน์เลยนับตั้งวันแรกมาจนถึงตอนนี้ ถ้าพวกเขายังรักษามาตรฐานแบบนี้ต่อไปได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จในบั้นปลาย
ลอเรนโซ อินซิเญ ใส่เสื้อของ เลโอนาร์โด สปินาซโซลา เพื่อมอบชัยชนะเหนือสเปนให้กับเพื่อนที่ไม่สามารถลงเล่นได้
เหตุผลที่จะทุ่มเท
แน่นอนว่าการสูญเสีย เลโอนาร์โด สปินาซโซลา ไปจากอาการเอ็นร้อยหวายฉีกในเกมเอาชนะเบลเยียม กลายเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของทัพ ‘อัซซูรี’ และ โรแบร์โต มันชินี เพราะนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในเกมรุกแล้ว การได้ตำแหน่ง Star of the Match (Man of the Match ที่แจกให้โดยสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนการแข่งขัน) ไปถึง 2 หนในเกมที่เขาลงเล่น ยังการันตีความยอดเยี่ยมของเขาได้อย่างดี
การขาดหายไปของเขาทำให้เกมรุกทางฝั่งซ้ายของอิตาลีที่เคยโดดเด่นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัดในเกมที่พบกับสเปน แต่นั่นก็ทำให้นักเตะในทีมชาติอิตาลีตั้งเป้าหมายที่จะคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้แทนเพื่อนที่ไม่สามารถลงสนามได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลจะเป็นแบบนี้ไม่ได้เลย ถ้าทีมไม่ได้มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างมาก และขณะที่สปินาซโซลาเองแม้จะเพิ่งผ่าตัดเสร็จและเดินได้ยังไม่ถนัดก็ยืนยันว่าจะมาให้กำลังใจเพื่อนที่ริมสนามในนัดชิงด้วย
แม้ขาดกำลังของฟูลแบ็กจากอาแอส โรมา แต่สิ่งที่อิตาลีได้กลับมา แม้จะไม่ใช่ความสามารถในสนาม หากแต่เป็นจิตใจที่ใฝ่ฝันถึงชัยชนะ ที่อยากจะคว้ามันมาแทนเพื่อนของพวกเขาที่ไม่สามารถช่วยทีมได้ สิ่งนี้อาจจะไม่ใช่ศักยภาพในสนาม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านักเตะอิตาลีจะทุ่มเทมันเกิน 100% ในเกมชิงชนะเลิศอย่างแน่นอน เพราะจุดหมายปลายทางมันไม่ใช่แค่การเล่นเพื่อตัวเอง เพื่อทีม และเพื่อชาติอีกต่อไป มันคือการเล่น ‘เพื่อเพื่อน’ ด้วย
อ้างอิง: