ฟุตบอลยูโรรอบ 16 ทีมสุดท้ายยังเตะกันอย่างต่อเนื่องในค่ำคืนนี้ โดยจะมีเกมอีก 2 คู่ที่ลงฟาดแข้งกัน คู่แรกเวลา 23.00 น. เป็นเกมระหว่างเนเธอร์แลนด์พบสาธารณรัฐเช็ก ที่ปุสกัส อารีนา ในฮังการี และอีกคู่ในเวลา 02.00 น. ที่สนามลา การ์ตูฆา ประเทศสเปน เบลเยียมจะพบกับโปรตุเกส ซึ่งต่างเป็นเกมที่น่าสนใจทั้งสองคู่ และเหมือนเดิมที่เราจะไปว่ากันทีละคู่
การปะทะกันของแนวรุกที่น่าจับตามองที่สุดในรอบนี้
เบลเยียม vs. โปรตุเกส – การปะทะกันของสองทีมที่เล่นเกมรุกดีที่สุด
มีเพียง 4 จาก 24 ชาติ ที่ยิงได้ 7 ประตูขึ้นไปใน 3 เกมรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งเบลเยียมกับ โปรตุเกสเป็น 2 ชาติจาก 4 ชาติที่ว่า แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองทีมต้องมาเจอกันเองตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังจากที่โปรตุเกสทำได้แค่หลุดลงมาเป็นทีมอันดับที่ 3 ของกลุ่ม F ทำให้ดวงชะตาพาให้ไปพบกับแชมป์ของกลุ่ม B ซึ่งเบลเยียมคว้าไปครองด้วยการไล่ตบทีมร่วมกลุ่มแบบเรียงตัว
เกมนี้นอกจากจะเป็นเกมที่หาทีมเข้ารอบต่อไปแล้ว ยังเป็นเหมือนเกมที่ชี้ชะตาไปถึงตำแหน่งดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ด้วย เพราะแม้ปัจจุบัน คริสเตียโน โรนัลโด จะนำเป็นจ่าฝูงในตำแหน่งนี้หลังจากยิงไป 5 ประตู แต่ โรเมลู ลูกากู ก็ไล่มาที่ 3 ประตู และผู้ที่ชนะในเกมนี้จะได้สิทธิ์ในการเดินหน้าลงสนามเพิ่มอีก และนั่นหมายความว่าเขาคนนั้นจะมีโอกาสทำประตูเพิ่มต่อไปด้วย
แม้โรนัลโดยิงไปแล้ว 5 ประตู แต่ 3 ใน 5 ประตูนั้นเป็นลูกที่จุดโทษ เมื่อเทียบกับลูกากู ที่ทั้ง 3 ประตูมาจากลูกโอเพนเพลย์ ทำให้ CR7 ดูจะใช้ทางลัดช่วยมากกว่าอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตามกองหน้าจากยูเวนตุสยังต้องการประตูเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ประตู เพื่อที่เขาจะได้กลายเป็นกองหน้าที่ยิงประตูให้ทีมชาติเยอะที่สุดแต่เพียงผู้เดียว หลังจากปัจจุบันรั้งตำแหน่งนี้ร่วมกับ อาลี ดาอี ตำนานทีมชาติอิหร่านอยู่ที่ 109 ประตูเท่ากัน
แม้ทั้งสองชาติจะมีจุดเด่นอยู่ที่เกมรุก แต่จุดที่ชี้ชะตาว่าใครจะได้ไปต่อนั้นกลับเป็นเกมรับที่ไม่ใช่จุดเด่นของทั้งสองทีม เพราะชาติไหนลดทอนความเสียหายจากเกมบุกระดับพระกาฬของคู่แข่งได้มากกว่ากัน ชาตินั้นก็มีโอกาสจะได้ไปต่อมากกว่า โดยในรอบแบ่งกลุ่ม โปรตุเกสอาจจะดูเสียประตูเยอะถึง 6 ลูก แต่ก็ต้องยอมรับว่าคู่แข่งที่ยิงพวกเขาได้เป็นทีมชั้นแนวหน้า ทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี เมื่อมาเทียบกับประตูเดียวที่ เบลเยียมเสียในรอบแบ่งกลุ่มอาจจะดูน้อย ก็เพราะพวกเขาเจอทีมอย่างรัสเซีย ฟินแลนด์ และเดนมาร์กนั่นเอง
ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่เกมนี้นอกจากจะถูกยกให้เป็นเกม 5 ดาวประจำรอบ 16 ทีมสุดท้ายเพราะชื่อชั้นของทั้งสองชาติแล้ว อีกสิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือคุณภาพของเกมก็น่าจะสูงเช่นกัน เพราะทั้งสองทีมต่างมีจุดเด่นอยู่ที่เกมบุก ดังนั้นเราน่าจะได้เห็นเกมที่แตกต่างจาก 2 คู่ในวันแรกที่เดนมาร์กถล่มอยู่ข้างเดียว หรืออิตาลีหาทางเจาะเกมรับของออสเตรีย แต่เกมนี้ทั้งคู่น่าจะบุกใส่กันอย่างดุเดือด
ความน่าสนใจของเกมนี้ เบลเยียมที่ดูเหนือกว่าก่อนลงสนาม แต่สถิติการเจอกันใน 6 เกมหลังสุด พวกเขาไม่สามารถเอาชนะโปรตุเกสได้เลย แต่ในแง่ของความพร้อมทั้งคู่ก็ถือว่าสูสีกัน พวกเขาต่างขาดฟูลแบ็กไปฝ่ายละคนเหมือนๆ กัน ทั้ง ทิโมธี กาสตาญ ของเบลเยียม และ ชูเอา กานเซโล ของโปรตุเกส นั่นยิ่งอาจจะเป็นจุดที่ทำให้เกมรับของพวกเขาเปิดโอกาสให้คู่แข่งก็ได้ และอย่างที่ได้เรียนไปว่าเกมรับฝั่งไหนยกระดับตัวเองมาลดทอนความเสียหายจากแนวรุกคู่แข่งได้มากกว่ากัน ก็จะคว้าชัยเกมนี้ไปได้ และนั่นทำให้เกมนี้น่าจะเป็นเกมคุณภาพเกมหนึ่งในรอบ 16 ทีมสุดท้ายนี้
เนเธอร์แลนด์กลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งของยูโร
เนเธอร์แลนด์ vs. สาธารณรัฐเช็ก – งูเหลือมฟอร์มร้อนแรงกับเชือกกล้วยของพวกเขา
‘อัศวินสีส้ม’ คือทีมที่ยิงประตูมากที่สุดในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขายิงไปถึง 8 ประตู มากกว่าชาติอย่าง อิตาลี เดนมาร์ก หรือโปรตุเกส ที่ยิงไปชาติละ 7 ประตู แม้ประตูได้เสียโดยรวมของเขาจะแย่กว่าทั้ง ‘อัซซูรี’ และ ‘ปีศาจแดงแห่งยุโรป’ แต่ เนเธอร์แลนด์ชุดนี้ก็เป็นทีมที่พูดได้ว่า เล่นเกมรุกได้สนุก ดุดัน และน่าจะเป็นที่จับตามองของหลายๆ ชาติ รวมถึงแฟนบอลหลายๆ คน
แต่ความสนุกของเกมนี้อยู่ที่ฝ่ายที่กุมสถิติเหนือกว่าก่อนแข่งกลับเป็นสาธารณรัฐเช็ก ที่ใน 6 เกมหลังเอาชนะเนเธอร์แลนด์ได้ถึง 4 และแพ้ ไป 2 โดย 2 นัดล่าสุดที่ทั้งคู่พบกันในปี 2014 และ 2015 ก็เป็นฝั่งสาธารณรัฐเช็กที่เอาชนะมาได้ทั้ง 2 เกม และตลอด 6 เกมหลังที่คู่นี้เจอกัน น่าสนใจว่ามีใบแดงถึง 3 ใบ และใบเหลืองรวม 26 ใบ ซึ่งบ่งบอกว่าเกมการแข่งขันนั้นเดือดแค่ไหน
นอกจากนี้ ในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายนี้ เนเธอร์แลนด์ต้องย้ายมาแข่งที่ปุสกัส อารีนา ซึ่งเป็นครั้งแรกในทัวร์นาเมนต์นี้ที่พวกเขาจะไม่ได้เล่นในบ้านตัวเองที่โยฮัน ครัฟฟ์ อารีนา ใมกรุงอัมสเตอร์ดัม ซึ่งน่าจะส่งผลทั้งในแง่ของความคุ้นเคยต่อนักเตะและสภาพจิตใจ โดยหลักฐานในเรื่องนี้ให้ไปดูอิตาลี ที่ปกติได้เล่นในสตาดิโอ โอลิมปิโก มาตลอด แต่ต้องย้ายมาเล่นในเวมบลีย์เมื่อคืนที่ผ่านมา ว่าเกมของพวกเขาติดขัดแค่ไหน และต้องใช้เวลาไปจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษกว่าจะเจาะประตูคู่แข่งได้
โดยสาธารณรัฐเช็กเองก็คงไม่ได้มาบุกแลก แต่น่ารอจังหวะในการเล่นงานคู่แข่งเหมือนที่พวกเขาทำมาตลอด การมี พาทริก ชิก ในทีม ย่อมเป็นตัวที่ขู่กองหลังของ เนเธอร์แลนด์ได้บ้างหลังเขาทำไปถึง 3 ประตูใน 3 เกมรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งสภาพความพร้อมของพวกเขาก็เกือบจะดี ยกเว้นแต่ แยน โบริล ที่ติดโทษแบนหลังสะสมใบเหลืองครบคนเดียว อเลส มาเทยู จะรับหน้าที่แทนในตำแหน่งแบ็กซ้าย ส่วนตัวสำคัญอื่นๆ ทั้ง โทมัส ซูเช็ก, วลาดิเมียร์ ดาริดา, ยาคุบ ยานก์โต และ ชิก พร้อมลงสนามทั้งหมด
ขณะที่เนเธอร์แลนด์แม้จะต้องเสีย ลุค เดอ ยอง ไปตลอดทัวร์นาเมนต์ที่เหลือ แต่นั่นไม่น่าจะส่งผลต่อทีมของ แฟรงก์ เดอ บัวร์ เท่าไร เพราะเขาไม่ได้มีชื่อเป็น 11 ตัวจริงอยู่แล้ว และการที่ได้ มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ กลับมายืนในแนวรับและยังมี เดนเซล ดุมฟรีส์, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม รวมไปถึง เมมฟิส เดอปาย ทำเกมในแดนหน้า ก็เรียกได้อย่างเต็มปากเลยว่าทีมของพวกเขาสมบูรณ์ 100% ในเกมนี้
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: