เมื่อวานมีดราม่าที่ตีคู่สูสีกันมาในแง่การเป็นที่พูดถึงอยู่ 2 ข่าว คือ ดราม่าข่าวการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีการเสียชีวิตของน้องเมย-ภคพงษ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ว่า ท่านก็เคยถูก ‘ซ่อม’ จนสลบ แต่ไม่ตาย “ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ต้องมาเรียน ไม่ต้องมาเป็นทหาร เราเอาคนที่เต็มใจ” (เอ่อ…เอาอย่างนั้นเลยหรือครับท่าน) กับดราม่าข่าวการให้สัมภาษณ์ของ แอฟ ทักษอร เป็นครั้งแรกกรณีแยกทางกับสามี (ส่วนข่าวน้ำท่วมจังหวัดเพชรบุรี ไม่ได้รับการพูดถึงมากขนาดนี้ เสียใจด้วย คุณยังดราม่าไม่พอ เชิญค่ะ!)
ในเชิงคุณค่าข่าวทางวารสารศาสตร์ หรือ Newsworthiness (ปัจจัยที่ทำให้เหตุการณ์หนึ่งมีคุณค่าได้รับการหยิบยกขึ้นมาเป็นที่พูดถึงจนเป็น ‘ข่าว’ ได้) ข่าวรักร้าวของแอฟมีคุณค่าข่าวทั้งด้านความมีชื่อเสียงของบุคคล (ดาราที่ดังมาก) ความขัดแย้ง (การเลิกรา) เรื่องเพศ (การเป็นสามีภรรยา การครองเรือน บทบาททางเพศ) ยิ่งบวกกับการเป็นประเด็นที่เข้าสัมผัสกับความรู้สึกของคน ทั้งสงสาร เห็นใจ ฯลฯ เรื่องของแอฟจึงได้รับการหยิบยกขึ้นเป็นวาระข่าว หรือ News Agenda ขึ้นมาได้
มองเพียงผิวเผิน มีคนรักกันและมีคนเลิกกันอยู่แล้วทุกวัน ข่าวของแอฟเองก็เช่นกัน มันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะผ่านไป เดี๋ยวก็มีดราม่าเรื่องใหม่เข้ามา และทุกคนก็เดินหน้าต่อไป แต่ในระหว่างที่เรื่องนี้เกิดขึ้น เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง นี่น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้จากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา การให้สัมภาษณ์ของแอฟตลอดเกือบ 20 นาทีนั้น เรามีบทเรียนอะไรให้ได้เรียนรู้กันบ้าง ไปดูกันครับ
สัมภาษณ์แบบฮอลลีวูด
การ (ถูกรุม) สัมภาษณ์เมื่อวานน่าจะเป็นการสัมภาษณ์ครั้งแรกของแอฟตั้งแต่มีข่าวระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวมาก่อนหน้านั้นเป็นเดือน ที่ผ่านมาทุกคนได้ทราบเรื่องราวจากข่าวลือ จากการเผือก การตีความผ่านโพสต์ในไอจีของคนนั้นคนนี้ ตลอดจนการลากผู้ที่คนคิดไปเองว่าต้องเป็นมือที่สามมาขึงพืดประจานจนคนไปถล่มโซเชียลมีเดียผู้ต้องสงสัย ซึ่งสุดท้ายดันไม่ใช่เว้ยเฮ้ย (อะไรที่ทำให้คนเราตัดสินใจไปด่าคนที่ไม่รู้จัก คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตเรา คนที่เราไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร – อันนี้น่าคิดนะครับ) ทั้งหมดทั้งมวลนี้ และแอฟก็ไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ใดๆ สักครั้ง
ถามว่าจำเป็นไหมที่แอฟต้องออกมาพูด ถ้าในต่างประเทศเวลาที่ดาราหย่าร้างกันหรือมีประเด็นส่วนตัวใดๆ ก็จะใช้แถลงการณ์อย่างเป็นทางการผ่านทนายหรือประชาสัมพันธ์ เราจะเคยได้เห็นว่า เมื่อ แบรด พิตต์ กับ แอนเจลินา โจลี หย่าร้างกัน หรือตอนที่สามีของ เซลีน ดิออน เสียชีวิต ก็ใช้แถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ตบท้ายด้วยการขอบคุณสำหรับกำลังใจ และขอความเป็นส่วนตัวให้กับครอบครัว ซึ่งแถลงการณ์เหล่านี้จะได้รับการคิดมาแล้วอย่างดีว่าจะเขียนว่าอะไรเพื่อไม่ให้เกิดประเด็นเพิ่มเติม หรือเกิดการกระทบกระทั่งกันจนเป็นที่ครหาได้
เมื่อได้รับแถลงการณ์แบบนี้ก็จะไม่มีนักข่าวไปดักรอสัมภาษณ์ เพราะดาราเขาขอความเป็นส่วนตัวแล้ว และนี่คือสิ่งที่ทุกคนควรเคารพ เมื่อดาราพร้อมที่จะให้สัมภาษณ์แล้วจริงๆ เขาจะเลือกการสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ เช่น ออกรายการโทรทัศน์ สัมภาษณ์ผ่านนิตยสารที่เชื่อถือได้เฉพาะสื่อไป คือไม่กวาดเอาทุกสื่อ แต่จะเลือกเฉพาะที่มั่นใจได้ว่า ‘สาร’ ที่ออกไปจะไม่ถูกบิดเบือน หรือมั่นใจว่าสื่อที่เลือกจะเคารพความเป็นส่วนตัวพอที่จะไม่ถามคำถามละลาบละล้วง ของแบบนี้ชั่วโมงบินและเครดิตของสื่อมีผลมากในการสัมภาษณ์ เช่น เลือกสัมภาษณ์กับนิตยสาร Vanity Fair แทนที่จะเป็น The Sun
เบื้องหลังกว่าจะมาถึงการสัมภาษณ์แบบนี้ ดาราจะได้ทิ้งเวลามากพอแล้วที่จะพร้อมให้สัมภาษณ์ เซลีน ดิออน ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ หลังสามีเสียชีวิตเป็นปี แบรด พิตต์ และ แอนเจลินา โจลี เองก็เก็บตัวเงียบ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป เมื่อออกมาสัมภาษณ์กับสื่อทีเราจึงได้เห็นการตกผลึกทางความคิดบางอย่างของคนที่ผ่านการเรียนรู้ชีวิต ทุกอย่างผ่านการวางแผนแล้วโดยตัวดาราเอง ผู้จัดการ และทีมประชาสัมพันธ์ ว่าจะวางภาพลักษณ์ ‘ชีวิตหลังวิกฤต’ อย่างไร Key Messages คืออะไร คำถามไหนจะตอบว่าอะไร เรื่องไหนที่จะไม่แตะ เรื่องไหนที่จะมีผลต่อภาพลักษณ์ พวกนี้ผ่านการคิดมาแล้ว
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าดาราฮอลลีวูดจะเลือกใช้ 3 อย่างนี้คือ 1. แถลงการณ์อย่างเป็นทางการที่ผ่านการวางแผนแล้ว ขอบคุณ และขอความเป็นส่วนตัว เช่นเดียวกัน สื่อที่ดีก็จะเคารพความเป็นส่วนตัวนั้น 2. ใช้การเก็บตัว เอาเวลาที่ยังไม่พร้อมตอบคำถามสื่อไปโฟกัสอย่างอื่นในเรื่องที่ชีวิตจริงๆ ต้องการ เช่น อยู่กับครอบครัว ทำงาน ฯลฯ และ 3. รอจังหวะในการใช้การสัมภาษณ์กับสื่อเฉพาะที่เลือกแล้วว่ามีคุณภาพ และไม่บิดเบือน ‘สาร’ หรือทำลายความเป็นส่วนตัว โดยผ่านการวางแผนในสิ่งที่จะสื่อสารออกไปแล้วเช่นกัน
สัมภาษณ์แบบไทยๆ
ทีนี้กลับมาดูวงการบันเทิงแบบไทยๆ นักข่าวบันเทิงจะได้สัมภาษณ์ดาราก็จากงานอีเวนต์ที่ดาราไปรับงานโชว์ตัว นั่นคือช่วงเวลาที่นักข่าวจะได้เจอดาราแล้วรุมยื่นไมค์ถาม และอย่างที่เราคงคุ้นๆ กัน คือ จะถามเรื่องอีเวนต์ไปงั้นๆ แหละ แล้วที่เหลือก็เข้าประเด็นเรื่องส่วนตัว เรื่องผัวเมีย หรือเรื่องดราม่าใครตีกับใคร ดาราอาจจะทั้งอยู่ในจุดที่พร้อมหรือไม่พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์ ซึ่งการจะให้สัมภาษณ์หรือไม่ให้สัมภาษณ์บางทีก็ขึ้นอยู่กับค่าตัวด้วย เพราะดาราบางคนละเอียดขนาดที่คิดค่าตัวออกงานอีเวนต์บนเรตว่าต้องสัมภาษณ์หน้าแบ็กดรอปไหม ถ้าไม่ต้องสัมภาษณ์ก็อีกเรตหนึ่ง แล้วแต่คน
มองในมุมดารา นักข่าวมารอสัมภาษณ์แต่ไม่ออกมาให้สัมภาษณ์ก็จะเป็นเรื่องกันเปล่าๆ เพราะนักข่าวก็อยากได้ข่าวไปทำงาน มาแล้วไม่ได้ข่าวก็จะลำบาก หัวหน้าจะด่าได้ แต่สิ่งที่น่าคิดต่อมา คือ วิธีการทำงานของนักข่าวบันเทิงจะมีวิธีอื่นไหมนอกจากการไปรอสัมภาษณ์ดาราตามอีเวนต์โปรโมตสินค้า
วงการบันเทิงไทยเราเป็นระบบ ‘น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า’ เพราะฉะนั้น เราจึงได้เห็นว่า การที่นักข่าวไปดักรอสัมภาษณ์หน้าแบ็กดรอปแล้ว ยังไงดาราก็ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ แต่จะให้สัมภาษณ์อย่างไรอันนี้เป็นเรื่องการเอาตัวรอดส่วนตัว อยู่ที่ชั่วโมงบินในการตอบคำถามไปจนถึงบารมีของดาราคนนั้นว่าจะทำให้สื่อเกรงใจได้แค่ไหน
มองอีกมุม นี่เป็นโจทย์ที่ท้าทายมากสำหรับดาราไทย เพราะในขณะที่ดาราฮอลลีวูดสามารถมีระยะห่างกับสื่อได้ เก็บตัวเงียบได้ รอจนทุกอย่างลงตัวแล้วจึงค่อยออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อที่ตัวเองเลือกแล้ว ดาราฮอลลีวูดจึงสามารถเป็นผู้คุมเกมแห่งการสื่อสารได้ แต่ดาราไทยต้องเจอสถานการณ์ถูกไมค์รุมให้สัมภาษณ์หน้าแบ็กดรอป ในแง่หนึ่ง ดาราเองก็คงทราบอยู่แล้วประมาณหนึ่งว่าจะต้องถูกนักข่าวถามถูกจี้ในประเด็นไหน สิ่งที่ท้าทายสำหรับดาราไทย คือ จะคุมสถานการณ์ได้อย่างไร ถ้าเตรียมตัวมาดีก็รอด แต่ถ้าคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ระเบิดอารมณ์ขึ้นมา ทุกอย่างก็พัง
ทักษะการตอบคำถามขั้นเทพของดาราที่ควรดูเป็นตัวอย่าง
ท่ามกลางการยิงคำถามที่ทั้งล้ำเส้น ละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัว และพยายามเหลือเกินที่จะยัดคำพูดบางอย่างใส่ปากแอฟเพื่อเขี่ยให้เป็นประเด็นดราม่าเพิ่มไปอีก แต่แอฟตอบคำถามได้น่าประทับใจจนทุกคนควรดูเป็นตัวอย่าง
ต่อให้เจอคำถามโหดแค่ไหน แอฟก็ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา มีการหยอดอารมณ์ขันพองามให้บรรยากาศไม่ตึงเครียด มีสติ ลองดูคำตอบแต่ละข้อนะครับ
ถาม: มีมือที่สามไหม
ตอบ: แอฟคงขอตอบในส่วนของแอฟดีกว่าค่ะ ว่าไม่อยากจะกลับไปคิดถึงอะไรที่ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ขอโฟกัสที่ลูกค่ะ เพราะตอนนี้แค่คิดว่าจะต้องเป็นผู้หญิงที่เลี้ยงลูกคนเดียวก็รู้สึกว่าเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ไม่อยากจะเสียพลังใจหรือพลังงานไปคิดเรื่องอื่น
ถาม: นัดกันเมื่อไรที่จะจดทะเบียนหย่า
ตอบ: ยังไม่มีค่ะ (แล้วยิ้มสวยๆ)
ถาม: ได้คุยกับสงกรานต์ไหม
ตอบ: คุยกันปกติค่ะ ในฐานะที่คุณสงกรานต์ก็ยังเป็นพ่อของน้องปีใหม่
ถาม: มันเกิดอะไรขึ้น เพราะแอฟก็เป็นผู้หญิงที่เพอร์เฟกต์มาก เป็นตัวอย่างของใครหลายคน
ตอบ: ขอบคุณค่ะ
ถาม: ใครเป็นคนบอกเริ่มกันเรื่องแยกกัน
ตอบ: ไม่รู้นะคะ เพราะบางเหตุการณ์ในชีวิตมันก็เข้ามาในจังหวะที่เร็วมาก บางทีจะกลับไปชี้เป็นจุดๆ ก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน
ถาม: ก่อนหน้านั้นคุณพ่อของคุณสงกรานต์เคยให้สัมภาษณ์ว่าเจอเครื่องสำอางของผู้หญิงในบ้าน ซึ่งอาจทำให้แอฟเข้าใจผิด เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
ตอบ: อันนั้นเป็นสิ่งที่ท่านพูดนะคะ ไม่ใช่สิ่งที่แอฟพูด จะให้แอฟตอบหรือว่าอธิบายแทนใครก็คงลำบาก อันนี้แอฟไม่สามารถทำได้จริงๆ ค่ะ
ถาม: มีร้องไห้ไหม
ตอบ: มันนานมากแล้วค่ะ อย่างที่บอก เรื่องมันผ่านมานานแล้ว แยกกันมาเกือบปีแล้ว มันผ่านช่วงนั้นมานานแล้วค่ะ
ถาม: สภาพจิตใจตอนนี้เป็นอย่างไร
ตอบ: ดีค่ะ แอฟเชื่อว่า คนเป็นแม่ทุกคนจะไม่จมอยู่กับตัวเองนาน สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องคิดว่าทำอย่างไร ถึงแม้ว่าภาระนี้จะยิ่งใหญ่มาก ทำอย่างไรจะตัดเรื่องอื่นมาทุ่มเทให้กับลูกได้อย่างเต็มที่ ทุ่มเทในที่นี้คือทุกด้าน พลังกาย พลังใจ
ถาม: ยังมีโทรคุยกันไหม
ตอบ: (หัวเราะ) มีลูกด้วยกันก็ต้องคุยกันนะคะ
ถาม: เวลาที่ผ่านมาสงกรานต์เป็นพ่อที่ดีและเป็นสามีที่ดีไหม
ตอบ: ทำไมถามยากอย่างนี้เนี่ย (หัวเราะ) อันนี้ก็ต้องบอกว่ามีทั้งดีและไม่ดีค่ะ เพราะสุดท้ายแล้วยังไงแอฟก็ต้องเคารพและให้เกียรติคุณสงกรานต์ค่ะ
ถาม: ไม่มีลิมิตในการรอใช่ไหมสำหรับการเซ็นใบหย่า
ตอบ: (หัวเราะ) อันนี้แอฟไม่ได้พูดนะคะ เป็นพี่จอย (นักข่าว) พูด
ถาม: ค่าใช้จ่ายของลูกส่วนใหญ่แล้วใครเป็นคนดูแล
ตอบ: ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้กันค่ะ
ถาม: เจอสงกรานต์แล้วตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง
ตอบ: อย่างที่บอกค่ะว่าเจอกันเรื่อยๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นความรู้สึกก็เป็นปกติค่ะ
ถาม: ยังรักคุณสงกรานต์อยู่ไหมคะ
ตอบ: เนี่ยยย (หัวเราะ) อย่างที่ได้บอกไปค่ะว่ามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ถาม: วันหนึ่งวางแผนจะบอกกับน้องว่าอย่างไรคะ
ตอบ: แอฟคิดว่าไม่ยากค่ะ แอฟคิดว่าปีใหม่สามารถเข้าใจได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เขาโตมาด้วยความรัก ความอบอุ่น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เป็นแบบทั่วๆ ไป มันอาจจะเป็นในรูปแบบที่เปลี่ยนไป แต่ถ้าเขายังได้รับความรักจากคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ แอฟก็คิดว่าไม่มีปัญหาค่ะ
เราจะเห็นว่าเธอไม่ใช้คำว่า ‘เสียใจ’ ‘เสียความรู้สึก’ ไม่เผยความรู้สึกที่ไม่ดี เมื่อถูกจี้ให้เปิดเผยให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับขาเตียง เธอเพียงตอบว่า “เรื่องมันผ่านมาแล้ว ไม่อยากจะไปเสียพลังกับมัน” เมื่อโดนถามในเรื่องส่วนตัวเกินไป เช่น ค่าใช้จ่ายการเลี้ยงลูก เมื่อไรจะหย่า เธอจะตอบไปว่า “ยังไม่มีการคุยกันเรื่องนี้” เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกต่อสามี เธอจะยังให้เกียรติอยู่ ไม่พาดพิงในทางเสียหาย เมื่อนักข่าวพยายามยัดคำพูดใส่ปากหรือโยงคำพูดของคนอื่นเข้ามา เธอจะตอบว่า “เธอตอบแทนคนอื่นไม่ได้” ซึ่งขีดเส้นใต้เอาไว้ว่า ไม่ว่าคำถามจะเป็นอย่างไร เธอจะยิ้มแย้ม แทรกอารมณ์ขันลงไปพองาม และสาระสำคัญของการสัมภาษณ์คือการโฟกัสที่ลูก และเธอก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจแล้ว จบ!
ที่เด็ดที่สุดจนต้องตบเข่าฉาดว่าแอฟโคตรแน่จริงๆ ก็คือ การอัพไอจีถ่ายรูปยิ้มแย้มร่วมกับนักข่าว (ซึ่งเพิ่งยิงคำถามที่ไม่ได้มีกาลเทศะเลยยย) พร้อมกับแคปชันว่า “ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ นักข่าวทุกคนค่ะ วันนี้ที่ทำแอฟน้ำตาคลอยืนยันไม่ใช่เพราะเรื่องส่วนตัวเลยค่ะ แต่เพราะซาบซึ้งในกำลังใจจากทุกคนที่อยู่กับแอฟตรงนั้น ขอบคุณสำหรับความเข้าใจและกำลังใจ มันมีค่ากับแอฟมากจริงๆ ค่ะ งานนี้เป็นงานที่รับไว้นานแล้วก่อนจะมีข่าว ลูกค้าวันนี้น่ารักมาก เป็นห่วงความรู้สึกของแอฟ พร้อมช่วยเหลือทุกสิ่ง ขอบคุณมากๆ นะคะ ยังมีเรื่องดีๆ ในวันที่ชีวิตไม่ราบรื่น คือได้เห็นความห่วงใยจากคนรอบข้าง”
ทำให้เห็นว่าเธอไม่มีปัญหากับนักข่าว ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับคำถามของนักข่าว ตัดดราม่ากับนักข่าวไปได้เลย เธอยังบอกว่าได้กำลังใจจากคนรอบข้างแม้กระทั่งพี่ๆ นักข่าว ไม่ได้รู้สึกเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัว แต่รู้สึกว่าซาบซึ้งที่ได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างยันขอบคุณลูกค้าที่น่ารัก
เป็นการกันทุกคนออกจากดราม่าใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วพูดแต่สิ่งที่ดีมากกว่าเผยแง่มุมด้านลบต่อเรื่องใดๆ ก็ตามออกมา
ถึงตรงนี้ขอใช้พื้นที่สดุดีให้กับความสามารถในการจัดการกับสถานการณ์ความขัดแย้งของแอฟ ทักษอร ได้อย่างไม่ทำให้ใครเจ็บตัว ยิ่งทำให้รู้สึกรักและเอาใจช่วยเธอยิ่งกว่าเดิม
นักประชาสัมพันธ์ที่ต้องจัดการกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ควรเอาการตอบคำถามของแอฟเป็นกรณีศึกษา เอาว่าตอนนี้แบรนด์ที่ชื่อ ‘แอฟ ทักษอร’ แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
การตั้งคำถามของนักข่าวบันเทิง
เราจำเป็นต้องรู้ไหมว่าเขาจะแบ่งกันเลี้ยงลูกอย่างไร ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกใครเป็นคนออก วางแผนการเงินสำหรับการเป็น Single Mom อย่างไร สาเหตุความขัดแย้งที่แท้จริงคืออะไร ตกลงมีมือที่สามจริงหรือเปล่า แอฟเห็นหน้าสงกรานต์แล้วรู้สึกอย่างไร กลัวลูกจะมีปัญหาไหม ฯลฯ
ต่อให้เป็นบุคคลสาธารณะ แต่ทุกคนมีพื้นที่ส่วนตัว และประชาชนคนเสพข่าวสารก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง
บางคนอาจจะบอกว่า แต่มันคือสิ่งที่ประชาชนอยากรู้ นักข่าวก็แค่ถามแทนประชาชน แม้หน้าที่การรายงานข่าว การตามหาความจริง และคิดแทนประชาชนว่าต้องการรู้อะไรนั่นก็เรื่องหนึ่งที่คนเป็นนักการสื่อสารจำเป็นต้องทำ แต่อีกสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นที่สื่อมวลชนต้องมีคือความรับผิดชอบต่อสังคม!
คำถามบางคำถามคือสิ่งที่คนกระหายใคร่รู้ ใครก็อยากเผือกแหละว่าเขาจะเลิกกันเพราะอะไร แต่ถ้าคำถามนั้นล้ำเส้นไปถึงเรื่องส่วนตัวของแหล่งข่าว ไปเหยียบย่ำจิตใจของแหล่งข่าว สื่ออาจจะต้องกลับมาถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่
จะเป็นสื่อที่ทำลายคนอื่นเพียงเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเผือกของคนแค่นั้นจริงๆ หรือจะเป็นเพียงสื่อบันเทิงที่ถามคำถามแรงๆ เพื่อจี้ให้แหล่งข่าวเผยอารมณ์บางอย่างออกมาเพื่อเรียกไลก์เรียกฟอลโลเวอร์ในเพจข่าวเท่านั้นหรือ
การตั้งคำถามเป็นสิ่งสำคัญ เป็นที่มาของการค้นหาความจริง แต่สำคัญกว่านั้นคือจะถามเพื่ออะไร จะเกิดประโยชน์จากการตั้งคำถามนี้บ้าง
สื่อเป็นวิชาชีพที่ยิ่งใหญ่ มีพลังในการนำสังคม อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันแบบไหน
ข่าวบันเทิงน่าจะมีอะไรมากไปกว่าการดักรอสัมภาษณ์ดาราหน้าแบ็กดรอปงานอีเวนต์สินค้าเพื่อถามเรื่องส่วนตัวของเขา ที่ไม่ได้ทำให้เห็นว่าวงการบันเทิงไปถึงไหนแล้ว เราเชื่อว่าคนบันเทิงมีความสามารถ แต่ถูกจำกัดพื้นที่อยู่เพียงเรื่องผัวๆ เมียๆ กับดราม่าไม่ถูกกับคนนั้นคนนี้
แอฟ ทักษอร เขา Move on แล้ว เราก็อยากให้คนข่าวบันเทิงได้ Move on บ้างเหมือนกัน
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai
กรณีศึกษาคนดังที่มีทักษะในการรับมือนักข่าวได้น่ากราบ
- มาดามตู่-นันทิดา แก้วบัวสาย ทุกครั้งที่นักข่าวสัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว จะเห็นได้ว่าต่อให้นักข่าวพยายามจะจี้แค่ไหน มาดามตู่ก็ไม่เคยพาดพิงถึงอดีตสามีในทางที่ไม่ดี ไม่เคยเผยความรู้สึกที่ไม่ดีออกมา ไม่เคยเห็นความเศร้า มีแต่ความนิ่ง ให้เกียรติทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่พาดพิงถึงใครให้เสียหาย นักข่าวจะขยี้อย่างไรก็ไม่หลงตามเกม ที่น่าประทับใจคือ มาดามตู่ถ่ายทอดสิ่งนี้ไปยังน้องเพลง ลูกสาวของมาดามตู่ด้วย ขนาดนักข่าวพยายามแซะให้น้องเพลงมีดราม่ากับเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ เรื่องถอดเพลงที่น้องเพลงร้องออกจากละครเรื่อง เพลิงบุญ ให้ได้ แต่น้องเพลงก็ไม่มีการพาดพิงถึงอีกฝ่ายในทางเสียหายแต่อย่างใด ไม่มีการน้อยใจ ไม่มีความรู้สึกที่ไม่ดี โฟกัสที่งานอย่างเดียว พอไม่มีดราม่า ก็เล่นข่าวต่อไม่ได้ ประเด็นก็จบ
- มาช่า วัฒนพานิช ตอนที่เธอเจอพายุลูกใหญ่ทั้งเรื่องคลิปหลุดและเรื่องความขัดแย้งกับแฟนโปรดิวเซอร์ชาวต่างชาติจนต้องฟ้องร้องกันเมื่อหลายปีก่อน ใครได้ดูการสัมภาษณ์ของมาช่าในวันนั้นคงเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้คือ Survivor ตัวจริงที่อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ ในสถานการณ์ที่สาหัสทางความรู้สึกขนาดนั้น มาช่าดูนิ่งมาก มีสติในการตอบคำถามแม้จะเป็นคำถามที่กรีดหัวใจแค่ไหน ใจต้องแกร่งเบอร์ไหนถึงสามารถยืนอยู่คนเดียวสู้กับคำถามโหดๆ ได้โดยไม่เสียสติเสียก่อน
- เคยมีนักข่าวถาม เซลีน ดิออน ในงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Beauty and the Beast รอบปฐมทัศน์ เรื่องการได้รางวัล Album of the year ของอเดล ซึ่งอเดลออกตัวว่าเธอรู้สึกว่าบียอนเซ่ควรได้รับรางวัลนี้มากกว่า เซลีน ดิออน ตอบไปว่า “วันนี้ฉันมาที่นี่เพราะหนังเรื่อง Beauty and the Beast และอยากให้คุณได้ชื่นชมและมีความสุขกับภาพยนตร์เรื่องนี้ค่ะ” ตึง! จบข่าว! ตัวจริงต้องแบบนี้!