กระทรวงสาธารณสุขอินเดีย เปิดเผยกรณีการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า (Delta) หรือ B.1.617.2 ไปเป็นสายพันธุ์ใหม่ ที่เรียกว่าเดลต้าพลัส (Delta Plus) หรือ AY.1 ซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายแรกในยุโรปตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดย ดร.วินอด กุมาร์ พอล นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวอินเดีย และสมาชิกด้านการแพทย์ของสถาบันแห่งชาติเพื่อการเปลี่ยนแปลงอินเดีย (NITI Aayog) แถลงข่าววานนี้ (15 มิถุนายน) ว่าไวรัสสายพันธุ์เดลต้าพลัสนั้นเกิดจากการกลายพันธุ์แบบ K417N ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ในโปรตีนหนามของไวรัส
ขณะที่ทางการอินเดียกำหนดให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ เป็นสายพันธุ์ที่น่าจับตามอง (Variant of Interest) แต่ยังไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ไวรัสที่น่ากังวล (Variant of Concern) เนื่องจากยังไม่พบว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้มีศักยภาพในการแพร่ระบาดที่รุนแรงมากกว่าเดิม จนสามารถก่อผลกระทบต่อมนุษยชาติ
ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สาเหตุการกลายพันธุ์ของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าพลัสนั้นเกี่ยวข้องกับการหลุดรอดของไวรัสจากระบบภูมิคุ้มกัน แต่ชี้ว่ายังไม่มีความน่าวิตกกังวล
ซึ่งจากข้อมูลที่ปรากฏ ณ ปัจจุบัน พบว่าไวรัสสายพันธุ์นี้อาจสามารถต่อต้านการรักษาโควิด-19 ที่เรียกว่าการให้ยาค็อกเทลภูมิคุ้มกันชนิดโมโนโคลน (Monoclonal Antibody Cocktail) ซึ่งเป็นการรักษาที่เพิ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้งานในอินเดีย
จนถึงวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา พบว่ามีรายงานกรณีการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้าพลัสเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ ได้แก่ อินเดีย 6 ราย แคนาดา เยอรมนีและรัสเซีย ประเทศละ 1 ราย เนปาล 2 ราย สวิตเซอร์แลนด์ 4 ราย โปแลนด์ 9 ราย โปรตุเกส 12 ราย ญี่ปุ่น 13 ราย และสหรัฐฯ 14 ราย
ซึ่งทางการอินเดียกำลังเฝ้าจับตามองการระบาดของไวรัสสายพันธุ์นี้ในประเทศ และจะพิจารณามาตรการรับมือที่เหมาะสมตามสถานการณ์ ขณะที่สิ่งสำคัญคือมาตรการควบคุมและเฝ้าระวังการแพร่เชื้อ รวมถึงทำความเข้าใจลักษณะและพฤติกรรมของไวรัสสายพันธุ์นี้
“จำไว้ว่าไม่มีทางที่เราจะกำจัดไวรัสสายพันธุ์เหล่านี้ ถึงจะใช้อาวุธที่แม่นยำเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่ปรากฏขึ้นอีกในอนาคต เราจำเป็นต้องเฝ้าระวังและทำความเข้าใจพฤติกรรมของมัน ดำเนินการรับมืออย่างเหมาะสม และมีสติต่อผลกระทบของไวรัสที่มีต่อเรา” ดร.พอล กล่าว
ภาพ : Photo by Vipin Kumar/Hindustan Times via Getty Images
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
