สนามเวมบลีย์ ถ้วยแชมป์ และการได้สวมเสื้อสีน้ำเงินคราม คือสิ่งที่ เมสัน เมาท์ เฝ้าฝันมาตลอดชีวิต
ตั้งแต่อายุเพียงแค่ 6 ขวบ เจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้อยู่ในร่มไม้ชายคาเดียวกับเหล่าตำนานนักเตะมากมายในถิ่น ‘เดอะ บริดจ์’ ไม่ว่าจะเป็น จอห์น เทอร์รี, ดิดิเยร์ ดร็อกบา, แอชลีย์ โคล, ปีเตอร์ เช็ก รวมถึงผู้ที่ให้โอกาสแก่เขาในการลงสนามกับทีมในฝันของเขาอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด
เมาท์เติบโตมากับยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ของเชลซี แชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอคัพ 5 สมัย, ลีกคัพ 3 สมัย, ยูโรปาลีก 2 สมัย และที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีก 1 สมัย
แชมป์สุดท้ายที่เด็กหนุ่มคนนี้ได้เห็นทีมรักชูถ้วยแชมป์ในฐานะ ‘แฟนบอล’ คือยูโรปาลีก ฤดูกาล 2018/19 ปีสุดท้ายของฮีโร่อย่าง เอเดน อาซาร์ ในเสื้อสีคราม
ในฤดูกาลนั้น เมาท์ถูกส่งตัวไปให้ดาร์บี เคาน์ตี ใช้งาน และเขากลายเป็นดาวเด่นของทีมที่ถูกแลมพาร์ดหอบหิ้วกลับมาด้วย และเขากลายเป็นหนึ่งในความเซอร์ไพรส์ของฤดูกาล เมื่อสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่นตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลคู่กับ แทมมี อับราฮัม และทำให้อคาเดมีของเชลซีได้รับการยกย่องอย่างมาก
เมาท์และอับราฮัมมีส่วนอย่างมากในการนำเชลซีก้าวผ่านฤดูกาลที่โหดร้ายสำหรับพวกเขา เพราะนอกจากจะเสียสตาร์อย่างอาซาร์ให้กับเรอัล มาดริดแล้ว ทีมยังไม่สามารถซื้อผู้เล่นเข้ามาเสริมทีมได้อีกด้วย เนื่องจากถูกลงโทษแบนในการซื้อผู้เล่นเป็นเวลา 1 ปี (ก่อนที่จะมีการลดโทษในเวลาต่อมา แต่ก็ไม่มีการเสริมทัพอยู่ดี)
เชลซีในฤดูกาลที่แล้วจบฤดูกาลด้วยการติดท็อป 4 ได้ไปแชมเปียนส์ลีกและเข้าชิงเอฟเอคัพ ซึ่งเป็นการเข้าชิงฟุตบอลถ้วยครั้งแรก แต่มันจบลงด้วยความผิดหวัง เมื่อพวกเขาพ่ายต่ออาร์เซนอล
หลังจากนั้นเชลซีมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอีกครั้ง เมื่อ โรมัน อับราโมวิช เจ้าของสโมสร กลับมาทุ่มเงินให้กับทีมในการซื้อผู้เล่นระดับสตาร์เข้ามาเสริมทีมอีก โดยเฉพาะในแนวรุกที่ได้ทั้ง ติโม แวร์เนอร์ และ ไค ฮาเวิร์ตซ์ สองสตาร์อนาคตไกลของทีมชาติเยอรมันเข้ามา
การมาถึงของแวร์เนอร์และฮาเวิร์ตซ์ถูกมองว่าเป็นการตัดอนาคตของเด็กปั้นสโมสรอย่างเมาท์และอับราฮัมโดยตรง เพียงแต่มิดฟิลด์พรสวรรค์ที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรุกก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่า เขาไม่เพียงดีพอที่จะเป็นผู้เล่นตัวจริงของผู้จัดการทีมคนไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแลมพาร์ดหรือ โธมัส ทูเคิล ที่ก้าวเข้ามาพาทีมไปข้างหน้า แต่เขายังต้องการจะเป็นกำลังสำคัญของทีมและพาทีมคว้าแชมป์ให้ได้ด้วย ซึ่งคืนนี้เขามีโอกาสแก้ตัวอีกครั้งในศึกนัดชิงเอฟเอคัพเหมือนเดิม
ที่ไม่เหมือนเดิมคือคู่แข่งที่เปลี่ยนจากอาร์เซนอลเป็นเลสเตอร์ และบรรยากาศในสนามที่จะมีแฟนบอลเข้ามาชมรวมกว่า 21,000 คน หลังจากที่ต้องชิงกันในสนามเวมบลีย์ที่ไร้ผู้คนเนื่องจากโควิด-19 เมื่อปีกลาย
“ผมอยากจะเติมเต็มความฝันของผมและความฝันของผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ส่งผ่านมาถึงผม” เมาท์กล่าว
“เราอยากจะคว้าแชมป์ ผมได้เคยเฝ้าดูเหล่าตำนานของเชลซีมาตั้งแต่สมัยผมยังอยู่ในอคาเดมี และได้เห็นพวกเขาคว้าแชมป์มากมาย รวมถึงแชมป์รายการใหญ่ๆ ผมอยากจะทำให้ได้แบบพวกเขาทุกคน ผมอยากจะเดินตามรอยพวกเขา นักเตะอย่างแลมพาร์ด, เทอร์รี, ดร็อกบา, โคล, เช็ก ผมอยากเป็นให้ได้เหมือนพวกเขาทุกคนเลย พวกเขาคว้าแชมป์มากมายกับสโมสร และได้ลงเล่นอย่างยาวนาน”
เมาท์สวมปลอกแขนกัปตันทีมให้เชลซีถึง 2 จาก 4 นัดที่เขาลงเล่นในศึกเอฟเอคัพฤดูกาลนี้ และมันเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ไม่คิดที่จะหลีกหนีแม้แต่น้อย
“ผมอยากจะเป็นผู้นำและเป็นคนที่พึ่งพาได้” เมาท์ในวัย 22 ปีกับอีก 87 วัน กล่าว “ถึงผมจะยังเด็ก แต่ผมก็อยากที่จะมีอิทธิพลต่อเกม ผมอยากจะพาทีมชนะในการแข่งขันและคว้าแชมป์
“ตั้งแต่เด็กๆ ผมได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้เลยว่าผมจะต้องลงเล่นชุดใหญ่ให้ได้ และผมจะไม่ให้อะไรมากระทบต่อผม ตอนนั้นผมมุ่งมั่นอย่างมาก ผมไม่ยอมให้ใครมาบอกผมว่าสิ่งเหล่านี้มันจะไม่เกิดขึ้น เพราะผมมีจิตใจที่เข้มแข็งมาก ผมบอกตัวเองเสมอว่าผมต้องทำได้ และมันคือสิ่งที่เป็นเป้าหมายของผม และเป็นสิ่งที่ผมคิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
ความลับหนึ่งที่น้อยคนจะรู้ว่าคนหนึ่งที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในชีวิตการเล่นของเมาท์คือคุณพ่อของเขา และแรงผลักดันที่สำคัญคือการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาทำได้
ที่บอกว่าทำได้ เพราะพ่อคือหนึ่งในคนที่ไม่เชื่อว่าเขาจะทำได้ และสิ่งที่เมาท์ต้องการทำคือ ให้พ่อได้รู้ว่าสิ่งที่กังวลในใจนั้นเป็นความคิดที่ผิด
“มันมีไม่กี่ครั้งที่พ่อคิดว่าผมคงทำไม่ได้ แต่ผมก็บอกตัวเองเสมอว่าผมจะทำให้ได้ ขอเวลาผมอีก 2-3 ปี แล้วค่อยมาดูกัน
“ผมจำได้ ตอนที่ผมยิงประตูแรกที่เดอะ บริดจ์ ได้ในฤดูกาลที่แล้วในเกมแรกที่ผมได้ลงเล่น ผมคุยกับเขาหลังเกมและแซวพ่อว่า “ใครมันจะไปคิดเนาะ? พ่อบอกว่าผมคงมาถึงจุดนี้ไม่ได้ ผมเลยพิสูจน์ให้พ่อดูว่าพ่อคิดผิด”
“หลังจากนั้นพ่อก็บอกว่า “ใช่ ลูกทำได้” ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก”
แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกตระกูลเมาท์นั้นก็เข้มแข็ง และหากไอ้ลูกชายคนนี้จะพิสูจน์ให้พ่อเห็นอีกครั้งด้วยการพาเชลซีคว้าแชมป์แรกในชีวิตของเขาในเกมที่เวมบลีย์คืนนี้ แชมป์นี้ก็ไม่ใช่เพื่อใครอื่นเลย
“ถ้าผมคว้าแชมป์ได้ แชมป์นี้ก็เพื่อครอบครัวและโค้ชที่สอนผมที่เชลซี มันจะเป็นอะไรที่พิเศษมาก”
และแน่นอน มันจะพิเศษมากเช่นกันสำหรับเด็กคนหนึ่งที่รอคอยความฝันนี้มาตลอด 16 ปี
เพราะความฝันไม่มีวันหมดอายุ ยิ่งเก็บไว้นาน ยิ่งดี 🙂
อ้างอิง: