วันนี้ (29 เมษายน) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.3973/2558 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต. จำลอง ศรีเมือง, สนธิ ลิ้มทองกุล, พิภพ ธงไชย, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, สมศักดิ์ โกศัยสุข, สุริยะใส กตะศิลา, ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, อมร อมรรัตนานนท์ หรือรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี และ เทิดภูมิ ใจดี แกนนำและแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216 กรณีที่มีการรวมตัวชุมนุมต่อต้านและขับไล่รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2551
อัยการโจทก์ฟ้องสรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 จำเลยทั้ง 9 คน ได้จัดชุมนุมใหญ่ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง ต่อมาจำเลยทั้งหมดได้นำกลุ่ม พธม. จำนวนมากเคลื่อนขบวนไปทำเนียบรัฐบาล ปิดการจราจรในถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่สี่แยกมัฆวานรังสรรค์ไปจนถึงสี่แยก จปร. เป็นที่ชุมนุมประท้วง ไปจนถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2551 โดยได้มีการตั้งเวทีถาวร กางเต็นท์ มีโรงครัวปรุงอาหาร ขึงลวดหนามกั้นถนนราชดำเนินนอก มีการตั้งกองกำลังรักษาความปลอดภัยเรียกว่า ‘นักรบศรีวิชัย’ นอกจากนี้ยังมีการจัดเตรียมเครื่องมือ เช่น ไม้เบสบอล หนังสติ๊ก ท่อนเหล็ก เพื่อใช้เป็นอาวุธ ส่อไปในทางที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงถึงขนาดก่อความไม่สงบขึ้นในประเทศ ส่วนบนเวทีปราศรัย จำเลยทั้ง 9 คน ได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นกล่าวปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาลสมัครตลอด 24 ชั่วโมง ร่วมกันชักชวนผู้ชุมนุมหลายหมื่นคนกระทำการปิดถนนสาธารณะ และเคลื่อนกำลังไปในลักษณะ ‘ดาวกระจาย’ ใช้รถยนต์บรรทุกเป็นเวทีปราศรัยเคลื่อนที่ไปกดดันบริเวณสถานที่ราชการหลายแห่ง เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และได้รับการประกันตัวในชั้นพิจารณา คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 เนื่องจากเป็นการฟ้องจำเลยซ้ำกับคดี พธม. บุกรุกทำเนียบรัฐบาล หมายเลขดำ อ.4925/2555 อัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 7-9 นั้น ศาลเห็นว่าการกระทำเป็นความผิดฐานมั่วสุม 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ ตามมาตรา 215 วรรคหนึ่ง แต่เห็นควรให้รอการกำหนดโทษจำเลยที่ 7-9 ไว้ก่อนมีกำหนด 2 ปี
ต่อมาศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2562 ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด โดยยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 เนื่องจากเห็นว่าอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 7-9 นั้น ไม่ได้กระทำความผิดฐานก่อความวุ่นวายตามมาตรา 215 วรรคแรก แม้โจทก์จะมีพยานเจ้าหน้าที่เบิกความกรณีผู้ชุมนุมต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติงาน จากการที่เจ้าหน้าที่ได้เข้ารื้อเวทีและเต็นท์ ของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่ได้เริ่มจากกลุ่มผู้ชุมนุม และที่มีการตรวจค้นพบขวานและเหล็กแป๊บในพื้นที่ภายหลังกลุ่มผู้ชุมนุมขนย้ายเต็นท์และข้าวของออกไปหมดแล้ว จึงค่อนข้างผิดวิสัย อีกทั้งก็ไม่ได้ค้นพบจากตัวผู้ชุมนุม ทำให้มีข้อสงสัยว่าอาจจะไม่ใช่ของผู้ชุมนุมเอง เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่ม พธม. เป็นการชุมนุมโดยสงบ ใช้สิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
ในวันนี้ มีเพียง สมศักดิ์ โกศัยสุข และไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำพันธมิตร จำเลยเดินทางมาศาล
ไชยวัฒน์ แนวร่วม พธม. เปิดเผยก่อนขึ้นห้องพิจารณาว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ประกอบด้วย 5 แกนนำ 1 ผู้ประสานงาน และ 3 แนวร่วม ซึ่งตนอยู่ในกลุ่ม 3 คนที่เป็นแนวร่วม ส่วนศาลชั้นต้นได้รอการกำหนดโทษ 3 แนวร่วม ไว้ 2 ปี วันนี้ไม่ได้มีความกังวลอะไร เพราะอยู่ในชั้นฎีกาถือว่าคดีจะสิ้นสุดแล้ว หากศาลฎีกาตัดสินให้ต้องจำคุกก็แค่ขึ้นรถเรือนจำ ไม่ได้เป็นปัญหา ตนเคยติดคุกมาแล้ว 2 ครั้ง แต่หากศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์คือยกฟ้อง ก็นั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน
ทั้งนี้ สำหรับคดีอื่นที่เหลือ คือคดียึดสนามบิน ศาลแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มแกนนำ 30 กว่าคน กับกลุ่มแนวร่วม 60 กว่าคน ตนอยู่ในกลุ่มแนวร่วม ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดสุดท้ายวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ จากนั้นก็มีอีก 29 นัด เพื่อสืบพยานจำเลยในเดือนสิงหาคม ซึ่งนัดล่วงหน้าไว้ทั้งหมดแล้ว จากนั้นก็จะมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่ายังไม่สามารถส่งหมายนัดมาฟังคำพิพากษาให้กับ สมเกียรติ จำเลยที่ 3 และ เทิดภูมิ จำเลยที่ 9 ได้ ด้วยเหตุจำเป็นดังกล่าว ศาลจึงให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 24 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00 น.
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์