วันนี้ (8 เมษายน) ผลสำรวจจากออสเตรเลียพบผู้หญิงอายุน้อยเป็นกลุ่มที่ลังเลจะฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) มากที่สุดในออสเตรเลีย
โดยคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) เผยแพร่ผลสำรวจล่าสุด ซึ่งเก็บข้อมูลประสบการณ์และทัศนคติของชาวออสเตรเลีย 3,030 คน ระหว่างเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19
ผลสำรวจพบว่ามีเพียงร้อยละ 43 ของผู้หญิงอายุ 18-24 ปี ที่สมัครใจจะฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยเร็วที่สุด มีจำนวนต่ำกว่าความสมัครใจของประชากรที่เหลือในประเทศ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 63
“ผู้หญิงอายุน้อยเต็มใจจะฉีดวัคซีนน้อยกว่าคนกลุ่มอื่น สวนทางกับผู้ชายอายุน้อย (ร้อยละ 62) ที่สนใจจะฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด” ไดอานา คาร์เดนาส ผู้เขียนหลักของการศึกษาครั้งนี้ระบุ ส่วนกลุ่มประชากรที่พร้อมฉีดวัคซีนมากที่สุดคือผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 80)
“เราพบว่าประชาชนที่เชื่อมั่นในรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลางเต็มใจจะฉีดวัคซีนมากกว่า ไม่ว่าพวกเขาจะมีเชื้อชาติใด อายุเท่าไร หรือเพศไหน” เคต เรย์โนลด์ส จากภาคการวิจัยทางจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียระบุ
“ความสมานฉันท์ทางสังคมมีส่วนเช่นกัน เราพบว่าปัจจัยหลักที่ทำให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนคือความต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน และความเชื่อว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม”
ผู้หญิงอายุน้อยที่เชื่อมั่นในรัฐบาลกลางมีไม่ถึงหนึ่งในสาม (ร้อยละ 30) สวนทางกับความเชื่อมั่นของประชากรที่เหลือในประเทศ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 47
ทั้งนี้ ร้อยละ 18 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามเมื่อช่วงกลางปี 2020 ลังเลที่จะฉีดวัคซีน ก่อนสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 ในเดือนตุลาคม 2020 โดยการสำรวจพบว่าร้อยละ 21 ของชาวออสเตรเลียกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงร้ายแรงจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
พิสูจน์อักษร: ชฎานิสภ์ นุ้ยฉิม
อ้างอิง:
- สำนักข่าวซินหัว