ความรักสามารถส่งผลกับชีวิตและการเงินได้ทั้งทางบวกและลบ ฟังเคสที่ความรักไปได้สวย ช่วยส่งเสริมเรื่องเงิน เคสที่ต้องเก็บเรื่องเงินเป็นความลับ จนกว่าจะแก้ไขได้เกือบสายเกินไป และเคสที่ความรักพังทลาย จัดการพันธะที่สร้างไว้ร่วมกันไม่ได้ จนต้องมีคนยื่นมือเข้ามาช่วย
เคสที่ 1: ฟ้ากับเหว
เมื่อ 6 ปีก่อน โค้ชมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ติดตามมาตั้งแต่สมัยเรียน ชื่อวุฒิ ไปสอนคอร์สไหนวุฒิจะตามไปสมัครเรียนอยู่เรื่อยๆ แต่เขามีข้อเสียคือเขาไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที เจอทีไรก็ประกาศเป้าหมายอยู่เรื่อยๆ เช่น บอกว่าปีหน้าจะหมดหนี้ จะมีเงินล้าน มาทุกครั้งก็มีเป้าหมายใหม่ทุกครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จ
จนกระทั่งวันหนึ่งวุฒิเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งในคอร์สสัมมนาของโค้ช พอมาเจอกันเคมีก็ตรงกัน พูดคุยกันง่ายและรู้สึกว่าทุกอย่างเข้ากันด้วยดีไปหมด วันดีคืนดีก็ตกลงปลงใจจะเป็นแฟนกัน
ตั้งแต่เริ่มคบกันวุฒิเปลี่ยนเป็นคนละคน จากเมื่อก่อนที่ลั้นลาไปเรื่อยๆ กลายเป็นคนดูจริงจังขึ้น พูดมีเหตุผล มีสาระ เริ่มเอางบการเงินมากาง กำหนดเป้าหมาย เก็บเงิน ตั้งใจปลดหนี้ เริ่มสะสมเงินในกองทุนรวมบ้าง ซื้อหุ้นบ้าง เปลี่ยนไปเหมือนฟ้ากับเหวจริงๆ
ด้วยความที่รู้จักกันมานาน เลยคอยดูวุฒิว่าจะได้สักกี่น้ำ เพราะคนที่เปลี่ยนเร็วๆ สุดท้ายก็เหมือนมาเร็วๆ แล้วพลิกคว่ำ ไม่ได้เกิดผลลัพธ์จริงๆ แต่คราวนี้คือของจริง เพราะหลังจากตกลงเป็นแฟนกับคนนี้ได้ปีกว่าๆ เขาก็มากระซิบบอกโค้ชว่าอีก 3 ปีจะแต่งงาน ที่สำคัญวุฒิบอกทุกคนรวมถึงโพสต์ลงเฟซบุ๊ก เพราะอยากให้ทุกคนบังคับให้วุฒิทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ ที่สำคัญบอกกับแฟนว่าตั้งใจจะเก็บเงินแต่งงาน
คนเราเวลามีความรักจะเปลี่ยนไปเยอะมาก จากชิลล์ไปวันๆ กลายเป็นลูกผู้ชายตัวจริง สุดท้าย 3 ปี วุฒิก็ได้แต่งงานจริงๆ ปัจจุบันมีลูก 1 คน การเงินทั้งคู่ก็ไปได้สวย ปัจจุบันวุฒิลาออกมาทำธุรกิจค้าขายส่วนตัว ส่วนภรรยาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก นี่คือสิ่งที่โค้ชเห็นเลยว่าความรักเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดเจน เมื่อไรก็ตามที่เรารู้จักเอาความรักมาเป็นพลัง ความรักจะช่วยเสริมพลังบวกให้ชีวิตได้
“ทุกเป้าหมายชีวิตของคนเรามีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ คนที่คิด คนที่คุย และวางแผนเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนแต่งงาน พอแต่งงานไปแล้วก็เหมือนมีกติกาหรือธรรมนูญของครอบครัว เมื่อไรที่การเงินของครอบครัวเสียสมดุล เราจะมีหลักเกณฑ์ในการยึดหรือตัดสินใจได้”
เคสที่ 2: ความรัก กับความลับ
เป็นเรื่องของรุ่นน้องโค้ชในสมัยเรียน เป็นคนดีโอบอ้อมอารี หน้าที่การงานดี รายได้ประมาณ 100,000 ต้นๆ ต่อเดือน รับผิดชอบทั้งครอบครัวตัวเองและครอบครัวทั้ง 2 ฝั่ง ในแต่ละเดือนเขาจะส่งให้คุณพ่อคุณแม่เดือนละ 20,000 บาท และให้ภรรยาที่ออกมาเลี้ยงลูกใช้จ่ายแบบเต็มที่ ให้บริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ในครอบครัวเดือนละ 80,000 บาท ค่าใช้จ่ายในบ้านอยู่ภายในการดูแลของภรรยาหมดเลย
วันหนึ่งบริษัทที่เขาทำงานถูกควบรวมกิจการ น้องคนนี้โดนแจ็กพอตไปด้วย รายได้ที่เคยมีถูกลดลงไปเหลือประมาณเดือนละ 80,000 บาท ด้วยความที่เขาไม่อยากทำให้คนในบ้านรู้สึกไม่สบายใจหรือคอยเป็นกังวลกับเรื่องสถานะทางการเงินไปด้วย น้องคนนี้เลือกที่จะส่งค่าใช้จ่ายให้ทั้งพ่อแม่ภรรยา และพ่อแม่ตัวเอง รวมถึงภรรยาในจำนวนเท่าเดิม โดยการเอาเงินออมที่เก็บสะสมไว้มาคอยจ่ายเสริมจากเงินเดือน พยายามให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนเดิม
นานวันเข้าเงินออมเริ่มร่อยหรอ เลยทำธุรกิจเพื่อหวังให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สุดท้ายธุรกิจที่ทำเสริมจากงานประจำนั้นขาดทุน เงินออมที่คาดหวังไว้ว่าจะให้งอกเงยกลับมากลายเป็นว่ายิ่งลดลงไปเร็วขึ้น ยิ่งหาช่องทางลงทุนยิ่งร้อนรนมากขึ้นและสุดท้ายก็พลาดพลั้งมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาเคยมาปรึกษาโค้ชตั้งแต่วันแรกๆ ที่โดนลดเงินเดือนว่าจะทำอย่างไรดี โค้ชตอบไปว่าพูดความจริงกับทุกคนซะ ทุกคนจะต้องรับรู้กับข้อเท็จจริง และจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้มันผ่านพ้นไป อย่าแบกทุกอย่างไว้คนเดียว แต่วันนั้นน้องเขาไม่เชื่อและตัดสินใจที่จะไม่บอก เขาบอกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะถ้าทำมันจะทำให้เขารู้สึกผิดกับตัวเอง เพราะสัญญากับภรรยาไว้ว่าจะดูแลกันอย่างดีที่สุด
สุดท้ายนานวันเข้า ความพยายามที่จะปกปิดเรื่องทั้งหมดมันมาถึงที่สุด เพราะเงินหมดเกลี้ยงไปจริงๆ สุดท้ายความจริงเปิดเผย น้องคนนี้เล่าข้อเท็จจริงให้กับคนที่บ้านฟัง เขาบอกว่าตอนที่จะพูดออกมาเขามีความกังวล กลัว เสียใจ รู้สึกไม่ภาคภูมิใจในสิ่งที่จะเล่าอย่างมากๆ แต่สุดท้ายพอเขาได้พูดออกไปทันทีที่ทุกคนทราบเรื่อง ปฏิกิริยาของทุกคนในครอบครัวมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาคิดไว้ พ่อกับแม่บอกกับเขาว่าไม่ต้องให้เงินแล้วก็ได้ เพราะที่ผ่านมาพ่อกับแม่เก็บเงินที่ให้ไว้บางส่วน ไม่ได้ใช้ทั้งหมด ก็พอที่จะเจียดเอามากินได้อีกพอสมควร ส่วนภรรยาไม่ได้โกรธเขาเลยที่รายได้น้อยลง แล้วต้องปรับมาตรฐานชีวิตลงตามรายได้ของสามี แต่ภรรยาพูดว่าเธอรู้สึกผิดหวังและเสียใจที่เขาเห็นเธอเป็นคนอื่นและไม่เล่าเรื่องสำคัญนี้ให้เธอรับรู้ในฐานะของคู่ชีวิต
หลังจากได้ปลดล็อกความรู้สึกทุกข์ใจตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เขาบอกว่าไม่เคยรู้สึกสบายใจเท่านี้มาก่อน วันนั้นแม้ว่าจะเป็นลูกผู้ชายแต่ก็ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหล กอดกับภรรยากันร้องไห้ พอได้ร้องไห้และพูดคุย วันนั้นเขาเหมือนเกิดใหม่ มีชีวิตที่มีความหวังและพลังใหม่อีกครั้งหนึ่งเพราะรู้ว่าคนที่อยู่ข้างๆ เขารักเขามากแค่ไหน
สิ่งที่ทำให้คนเราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อาจเกิดจากปมเล็กๆ ในใจ ถ้าเราลองเปิดออกไปอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่เราคิดก็ได้ และคนรอบข้างก็อาจจะให้กำลังใจ ทำให้เรามีชีวิตที่เดินหน้าต่อไปได้
“ความจริงอาจเป็นสิ่งที่ยากจะยอมรับ แต่การยอมรับความจริงจะช่วยให้เรารับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น และที่สำคัญหลายครั้งอาจจะช่วยให้เราได้เห็นว่า เราไม่ได้อยู่แก้ปัญหานั้นเพียงคนเดียว”
เคสที่ 3: Unlucky In Love, Unlucky In Game
เรื่องของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศ ฝ่ายหญิงส่งคำถามหลังไมค์มาหาโค้ชเพื่อขอคำปรึกษา เธอเล่าว่ามีแฟนคนหนึ่งยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่คบหาและอยู่อาศัยด้วยกัน ตัดสินใจที่จะสร้างชีวิตร่วมกัน เลยกู้ซื้อบ้านหลังหนึ่ง มองไว้ว่าจะได้เป็นเรือนหอ ปัญหามันเกิดขึ้นระหว่างกู้คือ ผู้ชายเป็นฝ่ายรายได้ไม่ค่อยเยอะเท่าไร ในขณะที่ผู้หญิงรายได้สูงกว่าพอสมควร พอยื่นกู้ก็ทำเรื่องกู้ร่วมกัน ทีนี้ด้วยยอดเงินที่จะต้องผ่อนมันเกินรายได้ของผู้ชาย เลยทำเรื่องให้ตัดจากบัญชีของผู้หญิงเป็นหลัก คือสัญญากู้ร่วมแต่หักบัญชีจากผู้หญิง นั่นหมายความว่าก่อนที่จะได้รับเงินเดือนทุกเดือน ผู้หญิงถูกตัดเงินก้อนหนึ่งเพื่อผ่อนบ้าน ไม่ให้มีปัญหาในการส่งล่าช้าหรือผิดนัดส่ง
วันดีคืนดี ผู้ชายไปมีคนใหม่ จับได้ตอนที่ผู้หญิงกลับจากที่ทำงานช้าเพราะต้องทำโอที กลับมาผู้ชายอยู่กับผู้หญิงอีกคน เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันใหญ่โต เรื่องมันน่าเศร้าตรงที่ดันไปท้าเขาว่าให้เขาเลือก ผู้ชายเลือกคนใหม่ ผู้หญิงเลยประกาศยุติความสัมพันธ์ ให้ฝ่ายผู้ชายออก แต่ผู้ชายไม่ออกจากคอนโด จะอยู่ และจะอยู่กับคนใหม่ด้วย
ผู้หญิงเจ้าของเรื่องทนอยู่กับสภาพแบบนี้ไม่ได้ เลยออกมาเอง ตอนที่โมโหไม่ได้คิดอะไร แต่ลืมไปว่าครบอีก 30 วันถึงงวดส่งพอดี ก็มาตัดเงินเดือนของผู้หญิง เลยไปให้ผู้ชายออกจากคอนโด ด้วยวิธีต่างๆ นานา ขอให้ยกเลิกที่กู้ร่วมกัน ผู้ชายไม่ยอมยกเลิก บอกว่าจะขาย ผู้ชายก็ไม่ยอมขาย เพราะคือการกู้ร่วมกัน มันเป็นภาระที่คาอยู่แม้ว่าความสัมพันธ์มันไม่อยู่แล้ว สุดท้ายก็ไปติดต่อธนาคารเปลี่ยนจากการกู้ร่วมเป็นกู้บุคคลเดียวรายได้ของผู้ชายก็ไม่สามารถทำได้ ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ จนถึงขั้นจะฟ้องกัน
เมื่อไรที่เป็นเรื่องทางกฎหมายมันไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆ มันมีกระบวนการฟ้อง สืบพยานกว่าจะตัดสิน ท้ายที่สุดเรื่องถึงหูผู้จัดการ ผู้จัดการคุยกับผู้ชาย กึ่งๆ การใช้มาตรการทางสังคม มาพูดคุยไกล่เกลี่ยว่าเราเป็นลูกผู้ชายไม่ควรทำแบบนี้น่าจะออกไป ผู้หญิงก็ขายบ้านไป ถ้าผู้ชายซื้อต่อไม่ไหวก็ต้องไปอยู่ที่อื่น สุดท้ายมาตรการทางสังคมเร็วกว่าและได้ผล
การที่เราจะวางแผนป้องกันมันคงได้ไม่ทุกเรื่อง ถ้าจะให้ดีและอยากให้เตือนกันในฐานะรุ่นพี่ที่แต่งงานมาเป็น 10 ปีแล้ว จะบอกว่า ถ้ายังเพิ่งคบกันไม่แน่นอนว่าจะอยู่กันไปยาวๆ ยังไม่ได้แต่งงานกันอะไรที่เป็นภาระทางการเงินระยะยาวอย่าเพิ่งผูกโยงหรือไขว้หากัน ให้ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างดูแลภาระของตัวเองกันไปก่อน
“กุญแจสำคัญของการแก้ปัญหาทางการเงินที่เกิดจากความรักคือการมีสติ รักตัวเอง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ ทุกปัญหาแก้ไขได้”
Credits
The Host จักรพงษ์ เมษพันธุ์
Show Creator จักรพงษ์ เมษพันธุ์
Episode Producer เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์, อธิษฐาน กาญจนะพงศ์
Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ
Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค
Art Director กริณ ลีราภิรมย์
Graphic Designer เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
Music Westonemusic.com