ตลอดระยะเวลา 2 เดือนเศษที่ผ่านมา ทีม ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล เผชิญกับช่วงเวลาที่มืดมนอนธการที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสร เมื่อผลงานของทีมดำดิ่งต่อเนื่องจนไม่เหลือความหวังใดๆ ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนเข้าสู่วันคริสต์มาสพวกเขายังนำเป็นจ่าฝูงอยู่เลย
สาเหตุของความตกต่ำเกิดขึ้นจากหลายเหตุผลประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่น โดยเฉพาะในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ตัวหลัก 3 คนได้รับบาดเจ็บจนปิดฤดูกาลอย่างรวดเร็วทั้งหมด การสูญเสียความมั่นใจของผู้เล่น ไปจนถึงระบบการเล่นและวิธีการเล่นที่คาดเดาได้ง่ายเพราะเล่นแบบเดิมมาตลอด 4 ฤดูกาล
สิ่งเหล่านี้ทำให้แม้แต่ยอดผู้จัดการทีมที่ได้รับรางวัลโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปีของ FIFA ถึง 2 สมัยติดต่อกันอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ เองยังไม่สามารถหาทางออกหรือแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
อย่างไรก็ดี ในคืนนี้ลิเวอร์พูลจะได้พักใจเล็กๆ จากรายการภายในประเทศที่กลายเป็นของแสลงเพื่อลงสนามในเกมสโมสรยุโรปกับแอร์เบ ไลป์ซิก ซึ่งจะเป็นเกมที่แปลก เพราะทั้งสองทีมต้องไปแข่งในสนามเป็นกลางอีกครั้งที่บูดาเปสต์ ประเทศฮังการี
เท่ากับลิเวอร์พูลจะได้เล่นในบ้าน แต่ไม่ได้เล่นในแอนฟิลด์ ซึ่งเรื่องนี้คล็อปป์เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เพราะหากดูอัตราตัวเลขของจำนวนผู้ติดเชื้อแล้ว บูดาเปสต์สถานการณ์แย่กว่าไลป์ซิกหรือลิเวอร์พูลด้วยซ้ำไป เพียงแต่ก็ยินดีที่จะทำตามคำสั่งของยูฟ่า
สำหรับเกมนี้ อดีตแชมป์เมื่อปี 2019 ได้เปรียบจากชัยชนะในเกมเยือน (ซึ่งก็เล่นที่บูดาเปสต์เหมือนกัน) อยู่ 2-0 ในรูปเกมที่ถือว่า ‘ข่ม’ ทีมของ จูเลียน นาเกิลส์มันน์ อยู่ไม่น้อย
เพียงแต่จากฟอร์มในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา อาการของลิเวอร์พูลยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะการแพ้ในบ้านติดต่อกันถึง 6 นัด ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ไลป์ซิกเองก็ยังมีความหวังว่าพวกเขาจะพลิกสถานการณ์จากนัดแรกได้
ในทางตรงกันข้ามลิเวอร์พูลก็หวังเช่นนั้นเช่นเดียวกัน โดยในเกมนี้มีการคาดเดาว่าคล็อปป์อาจจะตัดสินใจครั้งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทีม
จุดที่จะต้องตัดสินใจอยู่ที่แดนกลาง กับคำถามว่าจะให้ฟาบินโญกลับมาประจำการในแดนกลางอีกครั้งหรือไม่? หลังจากที่ถูกโยกไปให้ยืนในตำแหน่งกองหลังมาตลอดทั้งฤดูกาลนี้ ซึ่งแม้เจ้าตัวจะทำผลงานได้ในระดับที่น่าประทับใจ แต่ผลงานของทีมกลับย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ
ย้อนกลับไปในเกมที่ลิเวอร์พูลพ่ายต่อฟูแลมคาแอนฟิลด์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฟาบินโญ ซึ่งเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บได้ถูกส่งลงสนามในช่วงครึ่งเวลาหลัง แต่ไม่ได้ถูกส่งลงไปยืนในแนวรับ ซึ่งมี แนท ฟิลลิปส์ และ รีส วิลเลียมส์ สองกองหลังดาวรุ่งจากอคาเดมีของสโมสรทำหน้าที่อยู่
ดาวเตะชาวบราซิลได้โอกาสในการกลับมายืนในตำแหน่งกองกลางตัวรับที่ชำนาญอีกครั้ง และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ได้ลงสนาม ฟาบินโญแสดงให้เห็นในหลายจังหวะที่สามารถเบรกเกมคู่ต่อสู้ได้ในแดนกลางแบบที่ไม่เห็นลิเวอร์พูลเล่นแบบนี้มานาน ซึ่งส่งผลให้ทีมสามารถเปลี่ยนจากจังหวะรับเป็นรุกได้ในแดนคู่ต่อสู้
จุดนี้เป็นสิ่งที่ลิเวอร์พูลขาดหายไปชัดเจนเกือบตลอดทั้งฤดูกาล และอาจเป็นกุญแจในการไขปริศนาว่าทำไมแชมป์พรีเมียร์ลีกถึงได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนละทีมอย่างไม่น่าเชื่อ
การเลือกใช้คนให้ถูกกับงาน
อย่างไรก็ดี คล็อปป์เองก็ต้องชั่งใจด้วยว่า ฟาบินโญ ซึ่งสภาพร่างกายยังไม่สมบูรณ์และมีความเสี่ยงจะเจ็บซ้ำ
“การได้เขากลับมาเป็นเรื่องที่ดี” คล็อปป์กล่าวก่อนเกม “เขาพลาดการลงสตาร์ทในเกมกับฟูแลมเพราะการลงเล่น 2 นัด (ต่อเนื่อง) จะเป็นอันตรายต่อสถานการณ์ของทีม”
ไม่นับในแนวรับที่ โอซาน คาบัค เองก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน ซึ่งหากไม่ฟิตพอจะลงสนามก็จะเหลือเพียงฟิลิปส์และวิลเลียมส์ที่ยังอ่อนประสบการณ์ ซึ่งไม่ง่ายหากจะฝากความหวังในแนวรับเอาไว้
นี่เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่คล็อปป์ต้องเลือก และมันอาจจะส่งผลต่อเส้นทางของลิเวอร์พูลในช่วงที่เหลือของฤดูกาลว่าจะกลับมาเข้าที่เข้าทาง หรือจะยิ่งดำดิ่งต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกเลย
อย่างไรก็ดี สำหรับเรื่องของ ‘อนาคต’ และ ‘ความมั่นคง’ ของตัวคล็อปป์เองนั้น ทิศทางข่าวล่าสุดกุนซือชาวเยอรมนียังได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหารของสโมสรอย่างหนักแน่นเหมือนเดิม และจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทีมเพื่อนำสโมสรกลับมาสู่การเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จเหมือนเดิม
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: