ไม่มีใครอยากเชื่อข่าวที่ออกมา
กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ติดต่อ สตีเวน เจอร์ราร์ด ซึ่งขณะนั้นเป็นโค้ชให้ทีมเยาวชนชุดอายุต่ำกว่า 18 ของลิเวอร์พูล เพื่อให้มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่
ความไม่น่าเชื่ออย่างแรกคือเจอร์ราร์ด เพิ่งจะได้กลับมาเริ่มต้นงานคุมทีมระดับเยาวชนของลิเวอร์พูลได้ไม่นาน เขายังไม่มีประสบการณ์ในการคุมทีมชุดใหญ่ การจะรับงานคุมทีมกับกลาสโกว์ เรนเจอร์ส แม้จะเป็นยักษ์หลับของวงการฟุตบอลสกอตแลนด์แต่ยักษ์ก็คือยักษ์อยู่ดี
ความไม่น่าเชื่อต่อมาคือเรนเจอร์ส ทำไมถึงอยากได้ตัวผู้จัดการทีมที่ไม่มีประสบการณ์ในเมื่อพวกเขาต้องการคนที่จะสามารถกอบกู้ทีมให้กลับมาสู้กับกลาสโกว์ เซลติก ที่กลายเป็นมหาอำนาจของวงการลูกหนังเมืองวิสกี้ไปแล้วในระหว่างที่ ‘เดอะ ไลท์บลูส์’ ประสบปัญหาทางการเงินจนบ้านแตกสาแหรกขาด ต้องถูกปรับตกชั้นลงไปเล่นในระดับดิวิชัน 4
แต่สิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่อก็กลายเป็นความจริง เมื่อเจอร์ราร์ดได้รับการติดต่อให้รับงานผู้จัดการทีมคนใหม่หลังจากที่ เปโดร ไคซินญา ถูกปลดหลังผลงานย่ำแย่และต้องใช้ แกรม เมอร์ตี รับงานคุมทีมชั่วคราวในช่วงปลายฤดูกาล 2017-18
และที่แย่กว่านั้นคือ 7 วันก่อนหน้าจะรับข้อเสนอเรนเจอร์ส เพิ่งจะแพ้ในเกม The Old Firm Derby หรือศึกศักดิ์ศรีของเมืองกลาสโกว์ ด้วยการโดนเซลติกถล่มย่อยยับถึง 5-0 ทำให้ทีม ‘ม้าลายเขียวขาว’ หรือ The Bhoys คว้าแชมป์สกอตติชพรีเมียร์ชิพ ได้เป็นฤดูกาลที่ 7 ติดต่อกัน
เป็นงานที่ดูไม่น่ามีความหวังเลยไม่ว่าจะกับตัวของเจอร์ราร์ดหรือเรนเจอร์สเอง
แต่สำหรับอดีตกัปตันลิเวอร์พูล เขารู้ว่าเขาต้องเผชิญกับอะไร
และเขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัวอะไร
การตัดสินใจที่ไม่ต้องคิด
“ในตอนที่เรนเจอร์สโทรมา ผมแทบไม่ต้องคิดเลย” เจอร์ราร์ดเล่าถึงการตอบรับตำแหน่งผู้จัดการทีมเต็มตัวครั้งแรกในชีวิตของเขา แต่ก็แอบยอมรับว่ามีความรู้สึกตื่นเต้นด้วยเหมือนกัน
“มันมีความกระอักกระอ่วนในท้องของผมจากโอกาสที่ผมจะได้เป็นผู้จัดการทีม ผมมีความรู้สึกที่พิเศษ และผมรู้ว่าในเวลานั้นเรนเจอร์สเกิดมาเพื่อผม ผมมีความมั่นใจว่าผมจะสามารถทำหน้าที่ในฐานะผู้จัดการทีมได้ นี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในตัวของมันเอง
“ผมรู้ว่าสโมสรแห่งนี้เป็นสโมสรในระดับไหนจากที่เคยดูเฝ้าดูมาหลายปี”
แต่ถึงจะรู้ว่าเรนเจอร์สเป็นงานมหาหิน แต่เจอร์ราร์ดซึ่งได้รับการต้อนรับจากแฟนบอลไลท์บลูส์หลายร้อยคนที่มาต้อนรับเขาที่ไอบรอกซ์ ปาร์ค กลับไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความประหม่าเลยแม้แต่น้อย
“ผมไม่กลัวเรื่องความกดดัน ผมเล่นใต้ความกดดันมาตลอด ผมมีชีวิตอยู่ใต้ความกดดันมาตั้งแต่จบจากโรงเรียน พอเลิกเล่นฟุตบอลแล้วผมก็คิดถึงการลงไปในสนามและต่อสู้เพื่อแย่ง 3 แต้มในทุกสัปดาห์มาตลอด ความกดดันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ถ้าเราทำงานใต้ความกดดันแปลว่าเราอยู่ในที่ทำงานที่ดีแล้ว ผมรู้ว่ามันมีความยากลำบากและมีความกดดันสูง แต่นั่นคือสิ่งที่ผมรักเกี่ยวกับการเล่นฟุตบอล”
เจอร์ราร์ดตอบคำถามนักข่าวอย่างฉะฉาน ด้วยการยืนยันว่าเขาพร้อมเผชิญกับความท้าทาย และพาสโมสรก้าวไปข้างหน้า และตัวเขาก็ชอบความท้าทาย”
ดังนั้น เมื่อนักข่าวยิงคำถามว่าเขาจะรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงของสองสโมสรในเมืองกลาสโกว์ได้อย่างไร? ยอดกัปตันแห่งทีมตอบสั้นๆ แบบได้ใจว่า
“ก็มาสิ”
และมีสองคำสั้นๆ ที่เขาฝากถึงแฟนๆ ในวันนั้น
“ลุยกันเลย”
งานที่ยากเกินกว่าใครจะคาดคิด
ถึงแม้ว่าเรนเจอร์สจะเป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลสกอตแลนด์ แต่การจะทวงความยิ่งใหญ่กลับมาจากเซลติกให้ได้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
อย่างแรกหลังจากการคว้าแชมป์ครั้งสุดท้ายของเรนเจอร์สในปี 2011 พวกเขาก็ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จนทำให้สโมสรต้องถูกปรับตกชั้นลงไปถึงระดับดิวิชัน 4 ซึ่งกว่าที่พวกเขาจะใช้เวลาในการไต่เต้าขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้งก็ต้องใช้เวลาถึง 4 ปี
ระหว่างนั้นเซลติกก็ครองความเป็นใหญ่เพียงทีมเดียว เป็นการฝังรากความสำเร็จที่ฝังลึกยากจะโค่น
ขณะที่สถานะทางการเงินของพวกเขาก็ไม่ได้อู้ฟู่เหมือนสมัยก่อน ที่จะสามารถใช้เงินในการแก้ปัญหาได้เหมือนวันวาน
ไม่แปลกที่ รอย ฮอดจ์สัน ที่เคยร่วมงานกับเจอร์ราร์ดในช่วงที่คุมทีมลิเวอร์พูล และทีมชาติอังกฤษบอกว่าอดีตลูกทีมของเขารับงานที่ใหญ่และยากมาก
“เขารับงานที่ยากมาก โดยเฉพาะในการที่จะพยายามทำลายการครองวงการของเซลติกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง โดยในฤดูกาลแรกแม้จะทำผลงานได้น่าประทับใจแต่เรนเจอร์ส ก็จบฤดูกาลด้วยการตามหลังเซลติกถึง 9 แต้ม และในฤดูกาลที่แล้วพวกเขาตามหลังห่างถึง 13 แต้มก่อนจะมีการตัดจบฤดูกาลเพราะโควิด-19 และได้เข้าชิงฟุตบอลถ้วยในประเทศได้ครั้งเดียวจากความพยายามทั้งหมด 4 ครั้ง
เจอราร์ดเองก็ยอมรับ “มันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน”
การเติบโตของชายชาตรี
บทเรียนจาก 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาทำให้เจอร์ราร์ดได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง และในเวลาเดียวกันลูกทีมก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเขาด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงในฤดูกาลนี้อะไรที่เคยเป็นปัญหาจึงถูกแก้ไขจากเจอร์ราร์ด ตั้งแต่การวางตัวของนักเตะโดยเฉพาะตัวแสบอย่าง อัลเฟรโด โมเรลอส ที่กลายเป็นผู้เป็นคนขึ้นมามาก ในเวลาเดียวกันก็เกิดนักเตะอนาคตไกลอย่าง ยานนิส ฮาจี ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ จอร์จี ฮาจี ตำนานราชาลูกหนังของชาวโรมาเนีย
เช่นกันกับ ไรอัน เคนต์ ดาวรุ่งจากอคาเดมีของลิเวอร์พูลที่เจอร์ราร์ดติดสอยห้อยตามมาด้วยตั้งแต่แรก ก็กลายเป็นดาวเด่นเต็มตัวของทีม รวมถึงคนอื่นๆ ในทีมอย่าง เจมส์ ทาเวอร์เนียร์ แบ็กขวากัปตันทีมตัวท็อป หรือ เจอร์เมน เดโฟ จอมเก๋าที่มาประคับประคองพี่น้อง
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ทุกคนตั้งใจช่วยกันเล่น รักษาความสม่ำเสมอเอาไว้ได้ ทำให้ผลงานของเรนเจอร์สในฤดูกาลนี้เข้าขั้นมหัศจรรย์ ในบางความรู้สึกก็ดูคล้ายกับลิเวอร์พูล ทีมรักตลอดชีวิตของเจอร์ราร์ดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
แต่ก็มีบางอย่างที่อาจจะทำได้ดีกว่า โดยเฉพาะโอกาสในการจบฤดูกาลด้วยการไม่แพ้ใครเลย แถมสไตล์การเล่นของทีมก็ยังเป็นฟุตบอลที่เร้าใจ ดูสนุก ต่อบอลกันโบ๊ะบ๊ะ เรียกได้ว่ามีเสน่ห์อย่างมาก
ทุกอย่างยังมาพร้อมกับความตกต่ำของเซลติก โดยหลังจากที่สูญเสีย เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ยอดกุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ และเป็น นีล เลนนอน กลับมารับตำแหน่งแทนคู่ปรับร่วมเมืองของเรนเจอร์สก็ประสบปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นทำให้สุดท้ายเรนเจอร์ส คว้าแชมป์สกอตติช พรีเมียร์ชิพในฤดูกาลนี้ได้ก่อนจะจบฤดูกาลถึง 6 นัด เป็นแชมป์แรกของพวกเขาในรอบ 10 ปี และที่สะใจยิ่งกว่าคือการหยุดไม่ให้เซลติกทำ ‘The Ten’ หรือการคว้าแชมป์ 10 ฤดูกาลติดได้ด้วย
และสุดท้ายมันคือแชมป์ลีกครั้งแรกในชีวิตของเจอร์ราร์ด ที่แม้ยอดนักเตะอย่างเขาจะไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในการเล่น (ใกล้เคียงที่สุดก็อย่างที่รู้กันว่าห่างกันเพียงก้าวเดียว) แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็พิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จในฐานะผู้จัดการทีม
ลีกสกอตแลนด์อาจจะเป็นลีกที่เหมือนง่ายในความรู้สึก แต่หากมองย้อนกลับไปแล้วสิ่งที่เจอร์ราร์ดทำตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือมีโชคแต่อย่างใด
มันเกิดจากฝีมือจริงๆ ของผู้จัดการทีมหน้าใหม่ไฟแรงที่กำลังเปล่งประกายอย่างร้อนแรง และจะเป็นที่จับตามองมากที่สุดคนหนึ่งหลังจากนี้
ไม่มีใครบอกได้ว่าเจอร์ราร์ดจะอยู่กับเรนเจอร์สอีกนานแค่ไหน และไม่มีใครรู้ว่าเขาจะมีโอกาสได้กลับไปคุมทีมที่แอนฟิลด์หรือไม่ ซึ่งก็เริ่มมีเสียงเรียกร้องจากเดอะ ค็อปบ้างแล้ว
แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้หัวใจของชาวเรนเจอร์สไปเรียบร้อยแล้ว
ในฐานะชายจากเมอร์ซีย์ไซด์ ที่ขอกลับมามอบความสุขและความทรงจำที่ดีให้แก่ชาวเรนเจอร์ส เหมือนที่ครั้งหนึ่งชายผู้ยิ่งใหญ่จากสกอตแลนด์อย่างปรมาจารย์ บิลล์ แชงคลีย์ เคยนำลิเวอร์พูลจากทีมในดิวิชัน 2 สู่การเป็นสุดยอดทีมของอังกฤษและยุโรปในยุคหนึ่ง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์