×

เจ้าสัวธนินท์บุก Clubhouse ประกาศตั้งกองทุน 3 พันล้านบาท หนุนสตาร์ทอัพ พร้อมสนใจศึกษาบิตคอยน์ แม้เสียเงินไป 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วก็ตาม

26.02.2021
  • LOADING...
เจ้าสัวธนินท์บุก Clubhouse ประกาศตั้งกองทุน 3 พันล้านบาท หนุนสตาร์ทอัพ พร้อมสนใจศึกษาบิตคอยน์ แม้เสียเงินไป 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วก็ตาม

“ตื่นเต้นเหมือนกัน” คือคำทักทายแรกที่ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือเครือ CP กล่าวทักทายบน #Clubhouse ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มแรกที่เจ้าสัวเปิดแอ็กเคานต์ภายใต้ชื่อของตัวเองอย่างเป็นทางการ โดยในช่วงเช้าวันนี้ (26 กุมภาพันธ์) ได้มีการพูดคุยเป็นครั้งแรกผ่านห้องที่ชื่อว่า ‘SME Clinic โดยคุณธนินท์ ร่วมคิดฝ่าวิกฤตด้วยช่วยคุณ’ ดำเนินรายการโดย หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ #beartai มีการพูดคุยเกือบ 1 ชั่วโมงครึ่ง

 

“ผมว่า Clubhouse มีคนตั้งใจจริงๆ ที่จะเข้ามาฟัง พูดแล้วมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจยุคใหม่ไม่เหมือนแบบเก่า เราต้องเปิดใจเรียนรู้กับคนใหม่ๆ เรามันรุ่นเก่า ประสบการณ์ของเราผ่านมากับธุรกิจที่ล้าสมัยไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องเกี่ยวข้องกับคน การบริหารคน การลงลึก รู้จริง

 

“ผมอาจถนัดธุรกิจหนักๆ แต่ผมก็กำลังทำธุรกิจหนักให้เป็นธุรกิจเบาๆ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริม เช่น โลจิสติกส์ เรื่องใหม่ๆ เราต้องเรียนรู้กับคนใหม่ๆ ที่ทำสำเร็จในโลกนี้ เรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้ ปรับให้เหมาะสมกับเครือ และผมสนใจมากเรื่องธุรกิจสตาร์ทอัพ เล็ก กลาง เพราะเด็กในวันนี้จะกลายเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า”

 

เจ้าสัวธนินท์ระบุว่า ยุค 4.0 จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ยิ่งมาเจอวิกฤตโควิด-19 ซึ่งรุนแรงกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง ได้เร่งให้การเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ซึ่งในวิกฤตตามมาด้วยโอกาส ส่วนตัวเป็นคนที่ไม่มองวิกฤตอย่างเดียว เพราะมีวิกฤตก็ต้องมีโอกาส มีโอกาสก็จะตามมาด้วยวิกฤตคู่กัน

 

ในมุมของเจ้าสัวธนินท์มองว่า ประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ แต่สตาร์ทอัพในเมืองไทยยังขาดเงินที่เข้ามาสนับสนุน ตลอดจนการส่งเสริมจากภาครัฐ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจะมีการเก็บภาษีรายได้จากนักลงทุน ในขณะที่การลงทุนในสตาร์ทอัพไม่ได้การรันตีว่าจะมีกำไรเสมอไป อาจจะขาดทุนก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน

 

“คนเก่งๆ ต้องการมาอยู่เมืองไทย แต่กฎหมายของเราไม่ต้อนรับคนเก่ง และเรามัวแต่ใช้แรงงานราคาถูกซึ่งหมดยุคไปแล้ว ต่อไปนี้ต้องพูดว่าใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด และคำว่าแรงงานจะไม่มี จะมีแต่วิศวกร ช่างเทคนิค ใช้หุ่นยนต์ เครื่องจักรหมด ทำแทนคนหมด ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีสหภาพแรงงาน และประเทศที่เจริญแล้วจะไม่มีเกษตรกร แต่การขายจะง่ายขึ้น เรื่องวัสดุดิบจะอยู่บนเว็บไซต์ทั้งหมด”

 

เจ้าสัวธนินท์กำลังจะตั้งกองทุนมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,000 ล้านบาท สำหรับสนับสนุนสตาร์ทอัพ โดยมุ่งไปที่ธุรกิจที่เป็น 4.0 และเป็นธุรกิจแบบใหม่ที่ยังขาดเงินหรือความรู้ที่ช่วยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งกองทุนจะเติมเต็มให้ทั้งคู่ เช่น มีสตาร์ทอัพรายหนึ่งจะผลิตสินค้าสำหรับ 7-Eleven ทาง 7-Eleven ก็ต้องไปดูว่าสินค้านั้นเหมาะสมกับ 7-Eleven ไหม แล้วจะทำอย่างไรให้สินค้านั้นเป็นของดีราคาถูก เพื่อที่จะได้นำมากระจายให้กับลูกค้าของ 7-Eleven

 

“ผมอยากจะฝากไปถึงสตาร์ทอัพต้องศึกษาข้อมูลว่า เราจะทำอะไรก็ตาม ข้อมูลวัตถุดิบ ข้อมูลตลาด ตลาดต้องการอะไร ดีที่สุดต้องไปศึกษาว่า มีคนเริ่มทำไปหรือยัง เขาทำได้ดีอย่างไร เราต่อยอดได้ไหม แล้วเรายังขาดคนแบบไหนที่จะมาเสริมทีม ก็ต้องเชิญมาจากทั่วโลกมาผนึกกำลังกัน วันนี้ไม่ใช่เก่งคนเดียว แต่ต้องเอาคนเก่งเป็นทีมมาช่วยกันคิดช่วยกันทำ ยุค 4.0 ไม่ใช่ One Man Show อีกแล้ว”

 

ในส่วนของการพัฒนาคนนั้นเจ้าสัวธนินท์ให้มุมมองว่า ต้องคิดว่าพนักงานของเราเหมาะสมอะไร แล้วเราจะทำอะไร เราต้องศึกษาและมีเป้าหมาย ถึงจะจับคู่คนให้เหมาะสมกับงาน ที่สำคัญต้องให้อำนาจตัดสินใจ ไม่ใช่บงการ และโอกาสให้ได้ลองผิดลองถูก แต่ผิดวันนี้ต้องแก้พรุ่งนี้ ที่สำคัญชี้แนะได้แต่ห้ามชี้นำ อีกเรื่องที่สำคัญคือการตลาด ต้องมีข้อมูลให้ได้ลองถูกลองผิด

 

“ผมชอบเรียนรู้และต่อยอด เราอย่านึกว่าเราเก่ง มีคนเหนือคนนะครับ” เจ้าสัวธนินท์กล่าว โดยนอกเหนือจากกองทุนที่ลงกับสตาร์ทอัพโดยตรง อาจมีการตั้งกองทุนขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการพูดคุยแล้วยังเปิดโอกาสให้มีการถามตรงกับเจ้าสัวธนินท์ หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจคือ ในช่วงที่ แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากแดนมังกร ซึ่งวันนั้นยังเป็นเพียง SMEs ตัวเล็กๆ ในนักลงทุน 22 รายที่ทำรายชื่อไว้ คนแรกที่เดินทางมาหาถึงที่คือเจ้าสัวธนินท์ เพื่อขอทุนตั้งบริษัท Alibaba แต่เจ้าสัวธนินท์ไม่ได้ตอบตกลง

 

เจ้าสัวธนินท์ตอบว่า ยังทบทวนถึงวันนี้เลย ตอนนั้นไปเข้าคอร์สเรื่องอีคอมเมิร์ซที่ฮ่องกง ได้พบกับ แจ็ค หม่า และรู้จักอย่างดี โดยที่ไปเข้าคอร์สเพราะต้องการไปเสาะหาสตาร์ทอัพเก่งๆ เพื่อลงทุน พอเจอเข้าไปจริงๆ กลับฟังไม่รู้เรื่อง เจ้าสัวธนินท์ยอมรับว่าตัวเองทำตัวหนักมาตลอด จึงฟัง แจ็ค หม่า แล้วเหมือนเพ้อฝันหรือเปล่า

 

“ทุกอย่างมีเหตุมีผล แต่ผมมองไม่เห็นตัวตนเลย คุณบอกว่าภูเขานี้เป็นทอง แต่ผมมองทีไรก็เป็นภูเขา ต้นไม้ และก้อนหิน ทำไมคุณถึงมองเป็นทอง เหมือนวันนี้ไม่มีผิด อย่างบิตคอยน์ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเนื้อแท้ เมื่อ 3 ปีก่อนได้เสียเงินให้บิตคอยน์ไปนิดหน่อยประมาณ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่วันนี้ผมยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ กำลังเรียนรู้อยู่

 

“ถ้าวันนั้นผมเชื่อมั่น แจ็ค หม่า วันนี้ผมรวยไม่รู้เรื่องแล้ว เพราะผมรู้จัก แจ็ค หม่า ต้นๆ เลย” เจ้าสัวธนินท์กล่าว

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X