จากกรณีที่บางสำนักข่าวให้ข้อมูลแก่สาธารณชน โดยระบุว่าไทยตกขบวนวัคซีนโควิด-19 จากโครงการ Covax ล่าสุดวานนี้ (5 กุมภาพันธ์) วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า
ประเด็นคือหลายคนเชื่อว่าทุกชาติในอาเซียนยกเว้นไทยได้รับวัคซีนจากโครงการนี้ไปแล้ว แต่ข้อมูลที่เผยแพร่ออกมานั้น ระบุเพียงแผนว่าจะให้ในเดือนมิถุนายน 2564 แต่ไม่ได้บอกว่าทุกชาติได้ไปแล้ว ตรงนี้ต้องเข้าใจร่วมกันก่อนเป็นประเด็นแรก
และที่สำคัญไทยไม่ได้ตกขบวน แต่ไทยเลือกลงมาจากขบวนเอง เพราะการซื้อวัคซีนจากโครงการข้างต้น มีบางเรื่องที่ทำให้ไทยตัดสินใจลำบาก
วัชรพงศ์กล่าวอีกว่า ตัดเรื่องไทยจะได้ฟรีออกไปก่อน เพราะรายได้ของไทยอยู่ในระดับปานกลาง ไม่เข้าข่ายการรับความช่วยเหลือ
ด้วยว่าการเข้าร่วม Covax ไทยต้องใช้เงินแน่นอน กรณีจองวัคซีนที่ไม่รู้แหล่งที่มา ต้องเสียค่าธรรมเนียม 1.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส แต่ถ้าจะจองแบบเลือกผู้ผลิตก็ต้องเสียค่าจอง 3.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส ประเด็นคือ ราคานี้จะสูงขึ้นได้อีก ขึ้นอยู่กับอุปสงค์อุปทาน ณ ขณะนั้น
ต่อมา หากตัดสินใจทำสัญญาจองแบบเลือกผู้ผลิต เราก็ต้องเลือกในสิ่งที่ Covax เลือกมาให้ก่อน เท่ากับเราไม่มีอิสระในการตัดสินใจมากนัก
“ข้อมูลทั้งหมดสถาบันวัคซีนเคยอธิบายแล้ว และเท่านี้ก็รู้แล้วว่าไทยควรจะไปหารือโดยตรงกับทีมผู้ผลิตมากกว่าที่จะต้องมาจัดหาผ่านคนกลาง และที่สุดด้วยการหารือโดยตรง ไทยก็กำลังจะได้เป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด-19 เริ่มดำเนินการได้ภายในกลางปี 2564 แบบนี้ดีกว่ามิใช่หรือ” วัชรพงศ์กล่าว
วัชรพงศ์ย้ำว่าเรื่องวัคซีนโควิด-19 ถึงตลาดจะยังเป็นของผู้ขาย เพราะอุปทานมีน้อยกว่าอุปสงค์มหาศาล แต่ไทยเป็นประเทศที่มีหมอเก่งที่สุด มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุด ก็เป็นผู้ซื้อที่ฉลาดพอในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดให้คนไทย ขอให้ประชาชนมั่นใจ
“ทั้งนี้ ไทยไม่ปฏิเสธเข้าร่วมโครงการ Covax แต่ขณะนี้อยู่ในระหว่างการหารือ เพื่อให้ได้เงื่อนไขการจัดหาวัคซีนที่เหมาะสม” วัชรพงศ์กล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล