ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นยุครุ่งเรืองเฟื่อง (ใจ) ฟูสำหรับคนรักกีฬาเป็นอย่างยิ่งครับ
ที่บอกแบบนี้เพราะว่านอกเหนือจากคอนเทนต์ที่เป็นหัวใจหลักในการเสพอย่างการถ่ายทอดสดการแข่งขันที่มีให้ดูกันอย่างเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดแล้ว สำหรับคนที่รักกีฬาแบบสายลึกยังมีตัวเลือกเพิ่มอย่างสารคดีกีฬาที่มีให้ดูกันอย่างจุใจ
เหมือนอย่างปีกลายที่สารคดีกีฬาชุด The Last Dance กลายเป็นกระแสและกลายเป็นหนึ่งในสิ่งเยียวยาหัวใจผู้คนในช่วงแรกของการล็อกดาวน์ทั่วโลก
นอกจากนี้ยังมี Formula 1: Drive to Survive, Ali, The Playbook, Sunderland ’Til I Die, Icarus, Athlete A, Anelka Misunderstood, Maradona In Mexico และอีกมากมายที่น่าดูเต็มไปหมด (ทั้งหมดนี้หาดูได้ในบ้านเรานะครับ และยังมี ‘ของดี’ อีกมากมายที่ไม่ได้เข้ามาให้ชม)
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดที่พูดมานั้นเป็นการรับชมอยู่ที่บ้าน ดูกันตามความสะดวกของแต่ละคนว่าจะเลือกชมผ่านสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ททีวี
เพราะสารคดีเหล่านี้ต่อให้เรื่องดีแค่ไหนก็เป็นความชอบเฉพาะกลุ่ม โอกาสจะได้ขึ้นฉายบนจอเงินนั้นมีน้อย เช่นเดียวกับสารคดีระดับโลกหลายเรื่อง ที่โอกาสจะได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากเช่นกัน
ดังนั้นการได้เห็นภาพยนตร์สารคดีกีฬา The End of The Storm เข้าฉายในบ้านเราจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจอย่างมากครับ
สารคดีเรื่องนี้ผมเองพอรู้จักและทราบข่าวอยู่บ้างจากทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งที่อังกฤษนั้นก็มีข่าวออกมามากพอสมควรครับ เพราะเป็นสารคดีเกี่ยวกับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี
ตัวอย่างหนังเองก็นำเสนอได้น่าสนใจ เป็นมาตรฐานของงานสารคดีระดับโลก (ที่อยากเห็นสารคดีกีฬาบ้านเราไปให้ถึง) และชวนให้อยากรู้อยากเห็นตามไปด้วย
ว่ากว่าที่ลิเวอร์พูลจะเดินทางมาถึงจุดหมายและปลายทาง พวกเขาต้องฝ่าฟัน ‘พายุ’ มากี่ลูก หนักหนาและสาหัสแค่ไหน
ในช่วงที่ The End of the Storm ออกฉายในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ (เพราะกรุงดับลิน เมืองหลวงของไอร์แลนด์คือเมืองแฝดของลิเวอร์พูล) เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ผมเองก็พยายามเสาะหาวิธีที่ได้ดู ซึ่งตอนแรกก็ดีใจเพราะทราบว่ามีการเปิดฉายผ่านระบบออนไลน์ด้วย (เหมือนซื้อตั๋วหนังออนไลน์เข้าเว็บไซต์ไปดู)
แต่สุดท้ายก็อดเพราะมีการล็อกโซนเอาไว้สำหรับสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์เท่านั้น
ช่วงนั้นเองก็ทำใจและคิดว่าถ้ามีจังหวะคงจะหาทางสั่งแผ่นหนังเข้ามาดูเอา (ซึ่งมาทราบในภายหลังว่าก็มีเดอะ ค็อปบ้านเราอีกหลายคนเลยครับที่สั่งแผ่นเข้ามาเองและดูไม่ได้เพราะแผ่นล็อกโซน!)
แล้วจู่ๆ ก็มาเห็นว่า The End of The Storm จะมาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในบ้านเราตามหลังเมืองนอกในระยะเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 2 เดือนดี
ดีใจแทนเด็กหงส์บ้านเรานะครับที่บริษัทผู้นำเข้าภาพยนตร์รายใหญ่อย่างสหมงคลฟิล์มมองเห็นคุณค่าของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ซึ่งไม่เคยมีสารคดีกีฬาเรื่องใดได้ฉายในโรงทั่วประเทศในระบบปกติแบบนี้มาก่อน
สารคดีเรื่องนี้คือ ‘กล่องบันทึกความทรงจำ’ ที่ผู้กำกับ เจมส์ เออร์สไคน์ เป็นตัวแทนของเดอะ ค็อปทุกคนบนโลก ได้เข้าไปเก็บเกี่ยวเรื่องราวและเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องลึกและเบื้องหลังที่สุดมาให้ทุกคนได้เห็น
ว่าในขวบปีที่สุดแสนมหัศจรรย์ของลิเวอร์พูล ในปีที่พวกเขาสร้างปรากฏการณ์โกยชัยชนะเรียบวุธจนกระทั่งเกือบจะคว้าแชมป์ได้ตั้งแต่ก่อนจบฤดูกาลร่วมสิบนัด มันเกิดอะไรขึ้นในทีม เจอร์เกน คล็อปป์ ทำอย่างไรทีมของเขาจึงทำในสิ่งที่เหลือเชื่อได้แบบนั้น
Mentality Monsters อันลือลั่นนั้นมีความลับอะไรหรือเปล่า หรือทีมงานแอบหยอดยาสิงห์คะนองนาลงไปในเครื่องดื่มของนักฟุตบอล?
* คำเตือน เนื้อหาหลังจากนี้จะเปิดเผยรายละเอียดบางส่วนของภาพยนตร์ แม้ผู้เขียนสัญญาว่าจะเขียนอย่างระมัดระวังและเปิดเผยน้อยมากถึงมากที่สุด แต่หากผู้อ่านกลัวเสียอรรถรสในการรับชม ไม่แนะนำให้อ่านต่อตอนนี้ เอาไว้ดูจบแล้วค่อยกลับมาอ่านต่อนะครับ…
ว่าแต่แอบสปอยล์นิดหนึ่งครับ “ตอนจบลิเวอร์พูลเป็นแชมป์”
หยอกเล่นนะ!
เข้าเรื่องดีกว่า สำหรับสารคดีเรื่องนี้ต้องบอกก่อนว่าผู้กำกับอย่าง เจมส์ เออร์สไคน์ ไม่ใช่ผู้กำกับไก่กาที่ไหนครับ
เขาเป็นผู้กำกับสารคดีมีชื่อของวงการ เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy Awards มาก่อน และมีผลงานที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากอย่าง The Bille และ One Night In Turin
แต่ผลงานที่ทำให้เขาได้รับโอกาสในการเข้ามาถ่ายทำสารคดีให้กับลิเวอร์พูลนั้นมาจากผลงานชุด This Is Football ซึ่งออกฉายทาง Amazon Prime โดยสารคดีความยาว 6 ตอนที่ตั้งใจเจาะลึกถึงจิตวิญญาณของเกมฟุตบอลชุดนี้มีช่วงที่บอกเล่าเรื่องราวของแฟนบอลลิเวอร์พูล 3 คนในกรุงคิกาลี เมืองหลวงของประเทศรวันดา
พวกเขาใช้ความรักที่มีต่อลิเวอร์พูลนำทาง ไม่เพียงแต่เอาตัวรอดในประเทศที่เคยผ่านเรื่องราวที่โหดร้ายที่สุดอย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ยังใช้ลิเวอร์พูลเพื่อเยียวยาชีวิตตัวเองได้อย่างน่ามหัศจรรย์
ผลงานดังกล่าวได้ผ่านตาผู้บริหารของลิเวอร์พูล ซึ่งนำมาแนะนำต่อภายในสโมสรและผ่านตา เจอร์เกน คล็อปป์ ด้วยเช่นกันครับ
และนั่นทำให้เขาได้รับเชิญให้เข้ามาถ่ายทำสารคดีของลิเวอร์พูลสำหรับฤดูกาล 2019-20 ในปีที่พวกเขาตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะฝ่าฟันไปให้ถึงสิ่งที่เคยเป็นความฝันให้ได้ หลังจากที่อกหักในฤดูกาลก่อนหน้า แต่ก็ได้รางวัลปลอบใจอย่างการคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ซึ่งเป็นแชมป์รายการแรกของคล็อปป์ในแอนฟิลด์
เออร์สไคน์และทีมงานได้รับอนุญาตให้เข้ามาถ่ายทำแบบ All-Access คือเข้าถึงได้ทุกจุด อยู่กับทีมในทุกเวลานาที แม้กระทั่งในช่วงที่เป็นความลับที่สุดอย่างช่วงพรีซีซัน หรือภายในห้องแต่งตัว
ดังนั้นสิ่งที่คุณได้เห็นใน The End of The Storm หลายฉากจะเป็นฉากที่เราไม่เคยได้เห็นจากที่ไหนมาก่อนครับ (แม้ว่าในปัจจุบันทุกสโมสรจะมีแชนแนลของตัวเองในการนำเสนอข้อมูลแบบอินไซด์ ซึ่งลิเวอร์พูลก็มีเช่นเดียวกัน)
หลายฉากในภาพยนตร์ผมเองเคยรู้จากการอ่านมาแล้ว (และถ้าจำไม่ผิดเคยนำไปเล่าในรายการ The Secret Sauce ด้วย เช่น ในช่วงการเก็บตัวที่คล็อปป์นำนักกีฬาระดับโลกคนหนึ่งมาให้คำแนะนำกับทีม และคำแนะนำนั้นเป็นการ ‘ปลดล็อก’ ความสามารถทางใจของนักเตะลิเวอร์พูลจนกลายเป็นที่มาของการสร้างสิ่งที่เหลือเชื่อเกือบตลอดทั้งฤดูกาล
หรือฉากที่แสดงให้เห็นถึงความกลมเกลียว สมัครสมานสามัคคี เป็นมากกว่าเพื่อนร่วมทีม ซึ่งดูไปก็ยิ้มไป
แต่ส่วนที่ดีที่สุดที่ผมประทับใจอย่างมากคือบทสัมภาษณ์ของตัวละครที่ผู้กำกับเลือกในการบอกเล่าเรื่อง
ทุกตัวละครมีบุคลิกที่แตกต่างกัน ซึ่งอย่างน้อย 3 คนที่คุณจะได้เห็นแน่นอนคือ คล็อปป์ ในฐานะศูนย์กลางของทุกสิ่ง (แหงล่ะ!), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในฐานะกัปตันทีม และอีกคนคือ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่ไม่ค่อยได้เห็นบทสัมภาษณ์มากนัก
ด้วยความที่ผู้กำกับได้รับอนุญาตให้สัมภาษณ์ได้ทุกคนที่อยากสัมภาษณ์ ลึกแค่ไหนก็แล้วแต่คนถามจะอยากรู้และคนตอบจะอยากเล่า
ดังนั้น ‘ทุกสิ่ง’ ที่คุณได้ยินจากปากพวกเขาคือสิ่งที่พวกเขาคิดและรู้สึก และรู้ได้ว่ามันคือความจริงจากแววตาที่สะท้อนออกมา
เพราะแววตาที่เล่าเรื่องที่มีความสุข กับแววตาที่เล่าเรื่องเจ็บปวดนั้นเราย่อมรู้ได้ครับว่ามันแตกต่างกัน
ผู้กำกับไม่ได้เล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของนักฟุตบอลหรือผู้จัดการทีมเพียงอย่างเดียว แต่ยังเล่าในมุมของแฟนฟุตบอล ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่ในอังกฤษ แต่เป็นแฟนลิเวอร์พูลจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะในเอเชีย อเมริกาใต้ ยุโรป
โดยเฉพาะเดอะ ค็อปในอู่ฮั่น มนุษย์กลุ่มแรกของโลกที่ต้องเผชิญหน้ากับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่เราอาจจะไม่เคยคิดถึงมาก่อนครับว่าหัวใจและความรู้สึกของพวกเขาจะเป็นอย่างไรเมื่อไวรัสที่เริ่มต้นจากเมืองที่พวกเขาอยู่อาจจะทำให้ลิเวอร์พูลต้องเสียโอกาสที่รอคอยมา 30 ปี
เรายังจะได้เห็น ‘รายละเอียด’ ที่เกิดขึ้นในระหว่างเส้นทางในฤดูกาล 2019-20 ซึ่งเป็นเส้นเรื่องหลัก (ไม่ย้อนประวัติศาสตร์อะไรให้มากความ มีกำลังพอดี) ว่ามีเหตุการณ์อะไรสำคัญๆ เกิดขึ้นบ้าง และความคิด ความรู้สึกของทีมที่เจอกับสถานการณ์ต่างๆ นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ตั้งแต่นัดแรกสุดกับอาการบาดเจ็บของนักฟุตบอลคนสำคัญที่ทีมไม่เคยขาดเลย จนถึงวันที่โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และการรอคอยที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไรในช่วงของการล็อกดาวน์
ไม่ใช่แค่กับนักเตะหรือทีม แต่แฟนบอลก็ต้องรออย่างไม่รู้จุดหมายเช่นกัน และมีบางคนที่รอไม่ไหว…
ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินทั้งหมดนั้นจะทำให้ได้เราเรียนรู้อะไรบางอย่างไปในระหว่างที่ดื่มด่ำกับความทรงจำในกล่องสีแดงนั้นครับ ซึ่งสิ่งที่เรียนรู้ได้นั้น ต่อให้ไม่ใช่แฟนหงส์แดงผมก็เชื่อว่าสามารถนำมาถอดบทเรียนได้เช่นกัน
รวมถึงอีกส่วนที่ผมชอบมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้คือบทเพลงประกอบภาพยนตร์
ผมเชื่อว่าหากใครได้ชมแล้วน่าจะถูกสะกดด้วยเสียงร้องที่เหมือนมีมนต์สะกดของ ลานา เดล เรย์ นักร้องสาวที่ขับขานเพลง You’ll Never Walk Alone ได้ลึกถึงจิตวิญญาณ
At the end of a storm, there’s a golden sky…
You’ll Never Walk Alone ❤️@LanaDelRey x @tapmusic have teamed up for 𝐓𝐡𝐞 𝐄𝐧𝐝 𝐨𝐟 𝐭𝐡𝐞 𝐒𝐭𝐨𝐫𝐦 soundtrack to help raise funds the @LFCFoundation (https://t.co/L0EW8O6Ixc) 🙌 pic.twitter.com/BXaXOKvXjE
— Liverpool FC (@LFC) November 13, 2020
หากไม่นับ เจอรีย์ มาร์สเดน ศิลปินผู้ล่วงลับที่เป็นผู้นำบทเพลงนี้มาทำใหม่และกลายเป็นเพลงประจำสโมสรของลิเวอร์พูล (ก่อนจะกระจายไปทั่วยุโรปกับหลายสโมสร อาทิ กลาสโกว์ เซลติก, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์) เวอร์ชันที่ลานา เดล เรย์ร้องแบบอะแคปเปลลานั้นสะกดใจอย่างมากครับ
โดยเฉพาะการได้ฟังในโรงภาพยนตร์ที่มีระบบเสียงยอดเยี่ยมนั้น แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหาชุดเครื่องเสียงในบ้านที่ไหนจะให้เสียงที่ไพเราะได้เท่านี้อีกแล้ว
แต่ส่วนตัวผมประทับใจกับเสียงใสๆ ในบทเพลงช่วงแรกมากกว่า
มาทราบในภายหลังครับว่าบทเพลงนี้เป็นผลงานของ เชลซี กริมส์ นักร้องสาวที่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูลโดยกำเนิด และเคยเป็นอดีตนักเตะทีมหญิงของลิเวอร์พูลด้วย แต่ว่าหันไปเอาดีในวงการดนตรีแทน
เพลงนี้มีชื่อว่า Liverpool ครับ ซึ่งแม้ว่าเนื้อหาในเพลงจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสโมสรฟุตบอลเลยก็ตาม
แต่ท่อนฮุกซึ่งไพเราะอย่างมากนั้นจบด้วยคำที่แทนความรู้สึกของเดอะ ค็อปทั่วโลกที่ไม่สามารถทำอะไรได้ในยามนี้ที่ทีมกำลังประสบปัญหาฟอร์มการเล่นตกต่ำอย่างหนัก ไม่ต่างอะไรจากพายุลูกใหญ่ที่พัดกระหน่ำในเวลานี้
“Oh I miss you Liverpool, I do”
ในความรู้สึกแล้ว The End of The Storm จึงไม่ต่างอะไรจากกล่องความทรงจำสีแดงที่เก็บเรื่องราวและวันเวลาที่ทรงคุณค่าที่สุดเอาไว้
กลับมาเปิดดูเมื่อไรหัวใจก็พองโต 🙂
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- https://www.liverpoolfc.com/news/features/418651-chelcee-grimes-the-end-of-the-storm-track-lfc-foundation
- https://www.liverpoolfc.com/news/announcements/415825-the-end-of-the-storm-soundtrack-to-benefit-lfc-foundation
- https://www.irishnews.com/arts/2020/12/04/news/director-james-erskine-on-making-liverpool-doc-the-end-of-the-storm-2148848/
- https://www.bosshunting.com.au/sport/liverpool-fc-the-end-of-the-storm/
- ผู้กำกับ เจมส์ เออร์สไคน์ ไม่ได้เป็นสเกาเซอร์ แต่เป็นชาวแมนคูเนียน… ยังดีที่เป็น Citycens!
- ใครไม่อยากดูคนเดียว สามารถ ‘เหมาโรง’ ชวนเพื่อนไปดูพร้อมๆ กันได้ยกก๊วน ลองสอบถามรายละเอียดได้ที่สหมงคลฟิล์ม หรือโรงภาพยนตร์ House Samyan นะครับ
- หนังฉายแล้วนะวันนี้! (28 มกราคม)