×

นิสัยผู้ชนะของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่ทำให้ลิเวอร์พูลไร้เทียมทาน

26.06.2020
  • LOADING...

ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี หลังจากที่ต้องผิดหวังจากปีที่แล้วอย่างฉิวเฉียด และรอคอยโอกาสนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก้าวข้ามอุปสรรค รักษาสภาพจิตใจ กลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้อย่างไร 

 

ทำไมผู้จัดการทีมอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ ถึงทำได้สำเร็จ     

 

เคน นครินทร์ ชวน โด้-เมธา พันธุ์วราทร คอลัมนิสต์ฟุตบอลประจำ THE STANDARD มาพูดคุยถึง Jurgen Klopp Mentallity 5 นิสัยของผู้ชนะจากเจอร์เกน คล็อปป์

 

  1. เรียนรู้และก้าวเดินต่อ (Learning)

ย้อนหลังกลับไปในฤดูกาลที่แล้ว 2018-19 ในช่วงใกล้จะจบครึ่งฤดูกาลแรก ประมาณปีใหม่เป็นช่วงที่เริ่มมีการพูดถึงเรื่องที่ลิเวอร์พูลมีโอกาสเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกนับตั้งแต่ได้แชมป์ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1990

 

จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นในเกมที่พบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สถานการณ์เวลานั้นลิเวอร์พูลไม่แพ้ใครเลยตลอดฤดูกาล 20 นัด มีคะแนนนำอยู่ 7 แต้ม หากชนะจะทิ้งห่างเป็น 10 แต้มแม้ว่าจะลงแข่งมากกว่า 1 นัดก็ตาม แต่สุดท้ายแพ้ไป 2-1 ช่องว่างลดเหลือ 4 คะแนนและเล่นมากกว่า 1 นัด 

 

เหตุการณ์สำคัญในเกมคือลูกยิงของซาดิโอ มาเน ที่ชนเสาก่อนโดนจอห์น สโตนส์สกัดได้บนเส้น ซึ่งไม่ได้ประตูเพราะ Goal Line บอกว่าระยะขาดไปแค่ 1.12 เซนติเมตร

 

เกมนั้นลิเวอร์พูลแพ้เป็นครั้งแรก และเป็นการแพ้ครั้งเดียวตลอดฤดูกาล แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลพลาดแชมป์คือฟอร์มในช่วงปลายเดือนมกราคม-ต้นมีนาคมที่เสมอเลสเตอร์, เวสต์แฮม, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเอฟเวอร์ตัน ซึ่งนัดสุดท้ายคือจุดเปลี่ยนเพราะแมนฯ ซิตี้แซงนำเป็นครั้งแรก เท่ากับไม่ได้กุมชะตาเอาไว้ในมือ

 

ดังนั้นถึง 12 นัดสุดท้ายลิเวอร์พูลจะชนะรวดก็ไม่มีความหมาย เพราะแมนฯ ซิตี้ก็ชนะรวดทุกนัดที่เหลือเหมือนกัน พวกเขาจึงเป็นได้แค่รองแชมป์ทั้งที่ทำได้ถึง 97 คะแนน

บทเรียนในครั้งนี้เป็น Learning Curve ที่สำคัญไม่ใช่เฉพาะกับคล็อปป์ แต่รวมถึงนักฟุตบอลทุกคนในทีม

 

เพราะความจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาผิดหวัง แต่เป็นการผิดหวังต่อเนื่องจากนัดชิงลีกคัพ, ยูโรปาลีก (2016) และนัดชิงแชมเปียนส์ลีก (2018) ที่เป็นบทเรียนสอนใจมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเรื่องขุมกำลัง สไตล์การเล่นของทีม จนถึงเรื่องความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ และโชคที่ทำให้ผิดหวังได้ทั้งหมด

 

นอกจากการเรียนรู้แล้วพวกเขายังรู้จักที่จะก้าวเดินต่อไปด้วย ไม่ยึดติดกับความเจ็บปวด

 

หลังจบเกมนัดชิงแชมเปียนส์ลีกที่แพ้เรอัล มาดริด ทุกคนคิดว่าบรรยากาศคงจะแย่ แต่ปรากฏว่ามีคลิปวิดีโอคล็อปป์กระโดดกอดคอสตาฟฟ์และแฟนบอลร้องเพลงด้วยสีหน้าสุดกรึ่ม

 

เพราะเขารู้ว่าการจมอยู่กับความเศร้ามันไม่มีประโยชน์อะไร เช่นกันกับในฤดูกาลที่แล้วที่ทำได้ 97 คะแนนแต่เป็นรองแชมป์ มันไม่มีประโยชน์ที่จะจมอยู่กับความผิดหวัง สิ่งที่ต้องทำคือการพยายามใหม่อีกครั้ง (และพยายามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จ) พร้อมกับเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตไปด้วย

 

  1. มีเป้าหมายที่ชัดเจน และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย (Vision)

จากบทเรียนที่เจ็บปวดในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งแม้ว่าคล็อปป์และนักเตะลิเวอร์พูลจะได้รางวัลปลอบใจชิ้นใหญ่มากคือถ้วยแชมเปียนส์ลีก ทำให้ไม่ค่อยมีการพูดถึงเรื่องการ ‘วืดแชมป์’ นัก แต่ลึกๆ แล้วคล็อปป์รู้ว่าเป้าหมายของทีมในฤดูกาลนี้คือการนำถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกกลับมาให้ได้

 

ถึงจะไม่มีการเสริมทัพด้วยสตาร์เลยแม้แต่คนเดียว (มีแค่อาเดรียน ประตูสำรองกับ 2 ดาวรุ่ง) จนทำให้แฟนๆ เป็นกังวล แต่คล็อปป์รู้ดีว่าทีมชุดนี้ ‘ดีพอ’ สำหรับการลุ้นแชมป์แล้ว และไม่จำเป็นต้องซื้อนักเตะใหม่โดยที่ไม่จำเป็น และอาจดิสรัปต์สิ่งดีๆ ที่ทีมชุดนี้มีอยู่

 

การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้ทุกคนมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งกรณีของลิเวอร์พูลคือการชนะทุกนัดให้ได้

 

สิ่งสำคัญลำดับแรกของฤดูกาลนี้คือ ‘ผลการแข่งขัน’ ไม่ใช่ ‘ฟอร์มการเล่น’

ความลับของลิเวอร์พูลคือการที่คล็อปป์ใช้บทเรียนที่ผ่านมา แอบปรับแต่งทีมลิเวอร์พูลใหม่ จะเห็นได้ว่าสไตล์การเล่นในฤดูกาลนี้เปลี่ยนแปลงจาก 1-2 ฤดูกาลที่แล้วมาก 

 

สิ่งที่เติมเข้ามาคือการเล่นฟุตบอลแบบ Direct ที่หวังผลได้ (การสวนกลับเร็ว การเปิดบอลยาวเพื่อเข้าทำเร็ว) ไม่ต้องมีลีลาท่ามากเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่หากจะเล่นก็ยังเล่นได้ (ในเกมที่สกอร์ขาดแล้ว)

 

คล็อปป์ทำแบบนั้นคือการที่ไม่ยอมทำผิดพลาดซ้ำแบบเดิมๆ ขณะที่ทีมเล่นแบบ ‘เน้นทุกนัด’ โฟกัสทุกเกม

 

และเพื่อบรรลุเป้าหมาย ถึงจะต้อง ‘ทิ้ง’ บางสิ่งบางอย่างไประหว่างทางก็ยอม จะเห็นได้ในรายการลีกคัพและเอฟเอคัพ ที่คล็อปป์เลือกจะใช้ผู้เล่นดาวรุ่งและตัวสำรองมากกว่าจะตะบี้ตะบันใช้ผู้เล่นชุดใหญ่ทุกรายการ 

 

การสำเร็จวิชา ‘ฮาวทูทิ้ง’ ของคล็อปป์ทำให้นักเตะชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลพร้อมสำหรับการเดินหน้าสู่เป้าหมาย

 

  1. All-4-One…One-4-All (United)

สิ่งที่ลิเวอร์พูลแตกต่างจากทีมอื่นอย่างชัดเจนมากๆ โดยเฉพาะในกลุ่มทีมระดับท็อปของประเทศ คือการที่ผู้เล่นทุกคนในทีม ไม่ว่าจะเป็นคนที่ลงสนาม คนที่รออยู่ข้างสนาม พร้อมจะ ‘ทุ่มเทเต็มที่เพื่อคนอื่น’

 

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นคนพูดสรุปความมหัศจรรย์ของลิเวอร์พูลได้ดีที่สุดว่า 
’It’s about giving everything for each other’

 

ดังนั้นเมื่อใครได้ลงสนาม นอกจากที่ทุกคนจะทำตามหน้าที่และบทบาทของตัวเองที่ได้รับมอบหมายแล้ว ยังมีอีกหน้าที่หนึ่งที่ไม่มีใครบอกแต่ทุกคนทำคือการเล่นอย่างเต็มที่เพื่อคนอื่น

 

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสนาม แต่จะเห็น ‘ความกลมเกลียว’ ของนักเตะลิเวอร์พูลได้ตลอดเวลา ตั้งแต่การซ้อม การใช้เวลาร่วมกัน

 

ในตอนที่นาบี เกอิตาย้ายมาใหม่ๆ คล็อปป์ขอให้แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ช่วยขับรถพามาส่งที่สนามซ้อมเพื่อที่จะได้คุ้นเคยกัน และยังฝึกภาษาอังกฤษของเกอิตาด้วย ไม่เช่นนั้นถ้าให้นั่งรถมาเองก็จะเอาแต่ใช้ภาษาฝรั่งเศสคุยกับเพื่อน

 

นักข่าวเยอรมนีท่านหนึ่งผู้แต่งหนังสือ Bring The Noise: Jurgen Klopp ไปเยี่ยมคล็อปป์ในแคมป์ที่มาเบญา พบว่าบรรยากาศของทีมเป็นไปอย่างผ่อนคลายมาก Good Vibe ทุกคนดูสดชื่น มีพลัง และดูมีความเชื่อมั่น

 

ช่วงต้นฤดูกาลในเกมเยือนเบิร์นลีย์ มีเหตุการณ์ที่ซาดิโอ มาเน ไม่พอใจโม ซาลาห์ที่ไม่ยอมจ่ายบอลให้จนแสดงอารมณ์ผิดหวังอย่างรุนแรงเมื่อโดนเปลี่ยนตัวออกนอกสนาม หลังจบเกมคล็อปป์ปฏิเสธก่อนว่า “สองคนนี้ไม่มีอะไรกันหรอก” แต่หลังจากนั้นคือคล็อปป์เรียกทั้งคู่มาคุย

 

คล็อปป์ไม่ได้เรียกมาคุยพร้อมกัน แต่เรียกมาคุยทีละคน และฟังความรู้สึกของแต่ละคน สุดท้ายทั้งคู่ก็กลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ซึ่งเรื่องนี้สำคัญ เพราะมันสามารถส่งผลต่อบรรยากาศภายในทีมได้

 

คล็อปป์เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ ลูกทีมไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมลงไปเล่นในสนาม ทุกคนมีชีวิตจิตใจ ดังนั้นถ้ามันจะมีอะไรที่กระทบต่อความรู้สึกคล็อปป์จะยื่นมือเข้ามาทันที

 

ปัจจุบันนี้ทั้งมาเนและซาลาห์ทลายกำแพงทางใจกันไปเรียบร้อยแล้ว อาจมีบ้างบางวันที่ซาลาห์เห็นแก่ตัว เพื่อนจะรำคาญแต่ทุกอย่างก็จะผ่านไป

 

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คล็อปป์และทุกคนในทีมพยายามรักษาไว้ไม่ให้เปลี่ยนไป เพราะทุกคนรู้ดีว่า ‘สายสัมพันธ์’ คือขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุด

 

และแม้แต่ตัวคล็อปป์เองก็ผูกพันและรักทีมชุดนี้ รักมากพอที่จะยอมต่อสัญญาใหม่ทั้งๆที่ปกตินิสัยของเขาจะไม่คุยเรื่องสัญญาใหม่แบบนี้ 

 

  1. นิสัยของผู้ชนะ (Winning Habit)

ทีมฟุตบอลที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน คือทีมที่มีนิสัยของผู้ชนะ

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในยุคของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือตัวอย่างที่ดีที่สุดในฐานะทีมที่กระหายชัยชนะตลอดเวลา ซึ่งไม่ได้หมายถึงการได้ถ้วยแชมป์ในตอนสุดท้าย แต่หมายถึงการชนะทุกอย่างในสนาม ไม่ว่าจะเป็นการกระชากบอลผ่าน การเข้าสกัดได้ หรือการเอาชนะแนวรับส่งบอลเข้าไปกองก้นตาข่าย

 

ลิเวอร์พูลอาจจะเคยเป็นรองแชมป์มาแล้ว 3 ครั้ง (2001-02 ยุคเชราร์ อุลลิเยร์, 2008-09 ยุคราฟา เบนิเตซ, 2013-14 ยุคเบร็นแดน ร็อดเจอร์ส และล่าสุดเมื่อปีกลาย 2018-19) แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือทีมไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้เลย

 

ในฤดูกาลนี้คล็อปป์ได้ปลูกฝังนิสัยของผู้ชนะให้ทีมได้สำเร็จ 

 

เหมือนภาษิตจีน ‘เมื่อถึงเวลา…ดอกไม้จะบานเอง’

 

ความจริงคล็อปป์ไม่ได้เพิ่งเริ่มปลูก แต่ปลูกมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานแล้ว และใช้เวลา 4 ปีกับอีก 4 เดือนที่ผ่านมาในการอดทนรอให้ทีมค่อยๆ เติบโต และเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง

 

จุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องนี้คือการที่สามารถ ‘ปลดล็อก’ คว้าแชมป์แรกในรายการแชมเปียนส์ลีกเมื่อปลายฤดูกาลที่แล้ว

 

การได้ชูถ้วยใบแรกหลังจากที่พลาดหวังมานักต่อนักทำให้นักเตะในทีมเริ่มกระหายอยากที่จะได้ชูถ้วยแชมป์อีกมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นถ้วยน้ำจิ้มอย่างยูฟ่าซูเปอร์คัพ หรือถ้วยที่เหมือนไม่ค่อยมีราคาเท่าไรอย่างถ้วยสโมสรโลก นักเตะลิเวอร์พูลทุกคนจะฉลองความสำเร็จกันอย่างเต็มที่จริงๆ

 

เชื่อกันว่าคล็อปป์ไม่ได้มองแค่การพาลิเวอร์พูลเป็นแชมป์แค่ฤดูกาลเดียว ทีมชุดนี้พร้อมจะไล่ล่าความสำเร็จได้อีกยาวนาน

 

สำหรับลิเวอร์พูลมันจึงไม่ใช่ Now or Never เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ต่อให้ฤดูกาลหน้าคู่แข่งสมหวัง พวกเขาก็พร้อมจะกลับมาท้าชิงอีก เพราะทีมมีนิสัยของผู้ชนะแล้ว

 

  1. ไม่มีวันยอมแพ้ (Never Give Up)

สิ่งสุดท้ายที่ทำให้ลิเวอร์พูลมาถึงจุดนี้ได้คือการไม่ยอมแพ้

 

ในเกมแชมเปียนส์ลีกกับบาร์เซโลนา วันนั้นลิเวอร์พูลไม่มีทั้งเฟียร์มิโน และโม ซาลาห์ที่บาดเจ็บ ขณะที่สกอร์เป็นรองสุดกู่ถึง 0-3 การจะเข้ารอบได้ต้องชนะด้วยผลต่างมากกว่า 4 ประตูขึ้นไป ซึ่งทำให้สถานการณ์นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย

 

แต่ก่อนเกมซาลาห์ปรากฏตัวในสนามพร้อมกับเสื้อที่มีข้อความว่า Never Give Up และเสื้อตัวนี้กลายเป็นการจุดประกายทีมได้อย่างมหัศจรรย์

 

ในช่วงก่อนเกมวันนั้น คล็อปป์ขอโอกาสพูดสั้นๆ ซึ่งเป็น TeamTalk หรือการให้โอวาทก่อนเกมที่ทรงพลังอย่างมาก 

 

คล็อปป์บอกว่า “วันนี้เราจะต้องเล่นโดยไม่มี 2 กองหน้าที่ดีที่สุดในโลก คนทั้งโลกบอกว่าไม่มีวันที่เราจะทำได้ พูดตรงๆ มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เพราะนี่คือพวกนาย เพราะพวกนายเรายังมีโอกาส”

 

จริงๆ แล้วคล็อปป์เป็นคนพูดก่อนเกมไม่ค่อยเก่ง ส่วนมากจะพูดเฉพาะเรื่องแท็กติก 

 

ในสมัยคุมทีมใหม่ๆ กับไมนซ์ คล็อปป์เคยทำพลาดมหันต์ในการแจ้งเรื่อง 11 ตัวผู้เล่น ซึ่งสมัยนั้นคล็อปป์จะเดินไปบอกทุกคนในห้องพัก แต่ละห้องจะมี 2 คน และสิ่งที่เขาเจอทุกห้องคือเมื่อบอกว่าคนหนึ่งได้เป็นตัวจริง จะต้องเจอสายตาทั้งเศร้าและโกรธของอีกคนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ได้เล่นตัวจริงบ้าง 

 

การพูดก่อนเกมกับบาร์ซา กลายเป็นการพูดก่อนเกมที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของคล็อปป์ และข้อความ Never Give Up บนเสื้อของซาลาห์ก็กลายเป็นคำที่นักเตะลิเวอร์พูลทุกคนจำใส่ใจเสมอ

 

ในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลพลิกสถานการณ์ในช่วงท้ายเกมได้เยอะมาก เพราะทุกคน ‘ไม่ยอมแพ้’ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

 

หนึ่งในเกมสำคัญที่พิสูจน์เรื่องนี้คือเกมที่ไปเยือนแอสตัน วิลลา ในนัดที่ 11 เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเกมนั้นวิลลานำไปก่อน แล้วลิเวอร์พูลพลาดการตีเสมอเพราะ ‘รักแร้’ ของเฟียร์มิโนล้ำหน้า ทำให้ VAR ไม่ให้ประตู

 

ตลอดทั้งเกมลิเวอร์พูลเล่นไม่ดีเลย และทำท่าว่าอาจจะแพ้เป็นเกมแรกของฤดูกาล แต่แล้วก่อนหมดเวลา 3 นาที มาเนเปิดบอลไปเสาไกลให้คนที่ไม่มีใครคิดอย่างโรเบิร์ตสันเติมขึ้นมาโหม่งทำประตูตีเสมอ

 

ก่อนที่มาเนจะยิงประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ลิเวอร์พูลจึงยังรักษาระยะห่างนำหน้าแมนฯ ซิตี้อยู่ 6 คะแนนเหมือนเดิม (วันนั้นซิตี้พลิกเอาชนะเซาแธมป์ตันได้ช่วงท้ายเกมเหมือนกัน) ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะเอาชนะซิตี้ได้ 3-1 ในเกมต่อมา ทำให้ทิ้งห่างเป็น 9 คะแนน

 

ความไม่ยอมแพ้ยังเกิดจากความกลัวที่จะสูญเสีย กลัวจะแพ้ต่อคู่แข่งอย่างซิตี้ ซึ่งในความจริงคือแรงผลักดันที่สำคัญมากๆในการที่ลิเวอร์พูลต้องยกระดับตัวเองขึ้นมา

 

ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้จึงลงสนามทุกนัดด้วยความรู้สึก ‘ไม่ใช่แค่ต้องการจะชนะ แต่พวกเขาไม่ต้องการจะสูญเสียอะไรไปอีกแล้ว’ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

 

และคนสุดท้ายที่ไม่ยอมแพ้ก็คือคล็อปป์ ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ว่าทีมจะต้องเจอกับช่วงเวลาที่เลวร้าย ความเจ็บปวด ความผิดหวัง ต้องเสียน้ำตากันมากแค่ไหน เขาพร้อมที่จะฉุดทีมขึ้นมาเพื่อให้สู้ต่อ เดินหน้าต่อ ไม่เคยละทิ้งความหวังเสมอ

 

 

 


 

สามารถฟังพอดแคสต์ The Secret Sauce
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้อยู่แล้วได้เลย

 

 


Credits

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข, นครินทร์ วนกิจไพบูลย์

Show Producer นครินทร์ วนกิจไพบูลย์

Show Co-Producer & Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Creative ภัทร จารุอริยานนท์

Sound Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Video Editor ฐิติกาญจน์ กาญจนภักดี
Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์
Show note เมธา พันธุ์วราทร
Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

Webmaster รพีพรรณ เกตุสมพงษ์
Social Media Admin สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี, ณัฐชัย ตั้งวงศ์วิวัฒน์  

Archive Officer ชริน จำปาวัน 

Music westonemusic.com

  • LOADING...

READ MORE

MOST POPULAR



Close Advertising
X