วัคซีนต้านโควิด-19 ที่พัฒนาโดย Johnson & Johnson บริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐฯ เป็นที่จับตามองจากทั่วโลก หลังมีการเปิดเผยข้อมูลการทดลองขั้นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยและการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ได้ผลดี ทั้งในกลุ่มวัยรุ่นและผู้สูงอายุ อีกทั้งยังเป็นวัคซีนแบบ ‘ช็อตเดียว’ หรือฉีดเข็มเดียวที่ง่ายต่อการเก็บรักษา ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้การฉีดวัคซีนแก่ประชาชนเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก ถือเป็นอีกความหวังที่น่าจับตามองในการยับยั้งวิกฤตแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
รายละเอียดข้อมูลของวัคซีนตัวนี้ ยังมีบางอย่างที่เราไม่รู้ ซึ่งเราจะพาไปทำความรู้จักให้มากขึ้น โดยอ้างอิงจากบทความของ Bloomberg
(หมายเหตุ: ข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นเพียงการคาดการณ์จากผลการทดลองเบื้องต้นที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ แต่ยังต้องรอข้อสรุปอย่างเป็นทางการเพื่อยืนยันผลลัพธ์)
- ข้อมูลผลทดลองวัคซีนของ Johnson & Johnson บอกอะไรเรา? เปรียบเทียบกับวัคซีนอื่นๆ แล้วเป็นอย่างไร?
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยาของสำนักข่าว Bloomberg ให้คำตอบเกี่ยวกับรายละเอียดของวัคซีนโควิด-19 จาก Johnson & Johnson ที่เปิดเผยออกมาเพิ่มเติมจากข้อมูลชุดแรกที่เผยแพร่ในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา
ซึ่งแม้ผลวิเคราะห์ประสิทธิภาพขั้นแรกจากการทดลองทางคลินิกในเฟสที่ 3 จะยังต้องรออีกราว 2 สัปดาห์กว่าที่บริษัทจะยอมเปิดเผย แต่จากข้อมูลการทดลองล่าสุด ที่เพิ่งเผยแพร่ทางวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ ช่วยให้เราคาดการณ์ได้ว่า วัคซีนตัวนี้ ซึ่งสามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ในการฉีดเพียงเข็มเดียว มีประสิทธิภาพที่ดูดีกว่ารายงานเมื่อเดือนกันยายน
ซึ่งวัคซีนโดสเดียวของ Johnson & Johnson ให้ผลในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้คล้ายกับวัคซีนแบบ 2 โดส ของ Pfizer Inc. – BioNTech SE และ Moderna Inc. ถึงแม้ว่าวิธีการวัดระดับภูมิคุ้มกันจะแตกต่างกัน และไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันโดยตรงได้ แต่ข้อดีที่เห็นชัดเจนของวัคซีนจาก Johnson & Johnson คือการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่ยังคงเห็นผลดี และดีขึ้นอีกหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว 71 วัน ซึ่งผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นเหมือนกันทั้งในกลุ่มผู้อายุเกิน 65 ปี และกลุ่มวัยรุ่นอายุ 18 ปีขึ้นไป
จากข้อมูลนี้ ประกอบกับข้อมูลประสิทธิภาพวัคซีนของ Pfizer ในการทดลองเฟส 3 ทั้งโดสแรกและโดสสอง ที่สูงเกือบ 90% ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมีความคาดหวังว่าผลการทดลองวัคซีนของ Johnson & Johnson ในเฟสที่ 3 จะมีรายงานประสิทธิภาพที่สูงใกล้เคียงกัน
- วัคซีน Johnson & Johnson ทำงานอย่างไร
วัคซีนของ Johnson & Johnson ใช้เทคโนโลยี Viral-Vector หรือการใช้ไวรัสที่ทำให้อ่อนลงและไม่ทำให้เกิดโรค มาตัดต่อสารพันธุกรรม เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกับวัคซีนของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และ AstraZeneca รวมถึงวัคซีน Sputnik V ของรัสเซีย
- ถ้าผลทดลองประสิทธิภาพวัคซีนออกมาดี มีโอกาสที่วัคซีนจะได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็วไหม?
ถึงแม้ข้อมูลด้านการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีนจะออกมาดี แต่เรายังคงต้องรอผลทดลองเฟส 3 เพื่อชี้วัดประสิทธิภาพวัคซีนที่แน่นอน รวมถึงข้อมูลด้านความปลอดภัย ในการใช้งานแก่ประชาชนหลากหลายกลุ่ม
ขณะที่ความแตกต่างที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง จากการทดลองของ Johnson & Johnson คือเป้าหมายหลัก ที่จะชี้ว่าวัคซีนช่วยลดความเสี่ยงของโรคในระดับปานกลางไปถึงรุนแรงได้ดีเพียงใด ซึ่งการทดลองวัคซีนตัวอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมองเฉพาะโรคที่รุนแรง ดังนั้นในการทดลองระยะที่ 3 ของ Johnson & Johnson จะตอบคำถามโดยตรงได้ว่า ความรุนแรงของโรคจะลดลงได้ดีเพียงใด
- สมมติว่าผลทดลองเฟส 3 ออกมาเป็นบวก จะส่งผลต่อการอนุมัติใช้วัคซีนอย่างไร?
สิ่งที่น่ายินดีคือ หากผลทดลองประสิทธิภาพวัคซีนของ Johnson & Johnson ในเฟสที่ 3 ออกมาดีอย่างที่หวังไว้ เชื่อว่าการฉีดวัคซีน 1 โดส จะส่งผลดีอย่างมากต่อการให้วัคซีนแก่ประชาชน และอาจเป็นตัวพลิกเกมในการต่อสู้กับวิกฤตแพร่ระบาดของโควิด-19
ซึ่งวัคซีนของ Johnson & Johnson ยังสามารถจัดเก็บและขนส่งได้ในอุณหภูมิตู้เย็น แตกต่างจาก Pfizer-BioNTech และ Moderna ที่ต้องใช้การแช่แข็งในระดับต่างๆ
ขณะที่ Johnson & Johnson ได้ทำข้อตกลงซื้อขายวัคซีนกับทั่วโลก เริ่มต้น 900 ล้านโดส และมีศักยภาพเพิ่มเติมอีก 400 ล้านโดส แต่จากข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่โดย The New York Times พบว่า ทางบริษัทกำลังประสบกับปัญหาการผลิตบางอย่าง ทำให้ไม่น่าจะผลิตวัคซีนในปริมาณมากได้จนถึงช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม
ดังนั้นแม้ว่าประสิทธิภาพของวัคซีนจาก Johnson & Johnson จะดีที่สุด แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีความพร้อมในด้านอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถแจกจ่ายใช้งานวัคซีน และเอาชนะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้
- ฉีดวัคซีนเข็มเดียว พอไหม?
วัคซีนจาก Johnson & Johnson จะคุ้มครองและป้องกันการติดเชื้อได้นานแค่ไหนยังบอกไม่ได้ แต่จากข้อมูลที่ออกมาพบว่า การตอบสนองของภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนนานถึง 71 วัน มีแนวโน้มที่ค่อนข้างดี ซึ่งบ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนเพียงโดสเดียวนั้นเพียงพอแล้ว อย่างน้อยในระยะเวลาอันใกล้
แต่ยังมีคำถามว่า การให้วัคซีน 2 โดสนั้นจะส่งผลดีกว่าในระยะยาวหรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลที่เพิ่งเผยแพร่ออกมา พบว่าการให้วัคซีนของ Johnson & Johnson เป็นโดสที่ 2 จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของประชาชนกลุ่มวัยรุ่น หลังจากที่ฉีดวัคซีนแล้ว 57 วัน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า อาจจำเป็นต้องให้วัคซีน 2 โดส เพื่อการป้องกันการติดเชื้อที่ยาวนานขึ้น
- วัคซีนของ Johnson & Johnson จะต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ ที่พบในสหราชอาณาจักรและแอฟริกาใต้ได้ไหม?
หลักการดั้งเดิมในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมดนี้ คือถึงแม้ว่ามันจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในประสิทธิภาพที่ลดลง ไม่ใช่การสูญเสียประสิทธิภาพทั้งหมด และคาดว่าการสูญเสียประสิทธิภาพวัคซีนอย่างช้าๆ จะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เช่นเดียวกับปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของมนุษย์ที่มีต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดโรคที่ไม่รุนแรง
สำหรับวัคซีนที่ใช้อะดีโนไวรัส เช่น Johnson & Johnson และ AstraZeneca นั้นสามารถปรับให้เข้ากับไวรัสที่กำลังวิวัฒนาการได้อย่างง่ายดาย แต่ปัญหาในทางทฤษฎีที่พบคือ หากเราต้องการเวอร์ชันที่อัปเดตของไวรัส ปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่ออะดีโนไวรัสอาจมีประสิทธิภาพที่จำกัด
ภาพ: JUSTIN TALLIS / AFP
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: